Episodes

Wednesday Sep 20, 2023
327.เห็นภูเขา ไม่ใช่ภูเขา
Wednesday Sep 20, 2023
Wednesday Sep 20, 2023
บรรยายเมื่อ 15-04-2566
เมื่อชีวิตเป็นจริงได้ ชีวิตทั้งหมดจะเป็นการปฏิบัติธรรมด้วยตัวมันเอง
นั่นหมายความว่า การปฏิบัติธรรมที่เราเคยเรียนมาทั้งหมด ไม่ว่าจะคืออะไรก็ตาม มันไม่ใช่เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งของชีวิต ที่เราจะต้องมีสตินะ เราต้องมีสมาธินะ เราต้องเจริญปัญญานะ
เพราะกระบวนการคิดเหล่านั้น คือมิจฉาทิฏฐิ คือมีเราคนนึง จะเป็นผู้ที่ได้รับผลข้างหน้า เราจะกลายเป็นพระอรหันต์
แต่ถ้าเราอยู่ในกระบวนการ “เห็นภูเขา ไม่ใช่ภูเขา” จนเราเริ่มแจ่มแจ้งกับชีวิตมากขึ้น ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง จนสามารถจะมีชีวิตจริง ๆ ได้
กระบวนการของธรรมชาติ ของชีวิต ด้วยตัวมันเอง มันมีความตระหนัก ชัด ที่จะมีชีวิต ที่เป็นการปฏิบัติธรรม
หรือโดยสรุปย่อลงมา ก็คือ มีชีวิตที่เป็นความแจ่มแจ้ง ต่ออะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
เราไม่สามารถจะหยุดกระบวนการของชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมได้เลย นี่คือ การปฏิบัติธรรม
เมื่อชีวิตนี้ เริ่มขึ้นแล้ว
ไม่มีอะไรหยุดมันได้
แต่ถ้าการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งในชีวิต ความรู้สึกของเราก็คือ โอ๊ย แย่จัง วันนี้ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย วันนี้ปฏิบัติน้อยไป
ถ้าเรายังมีความคิดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาในชีวิตการปฏิบัติของเรา เราจะต้องรู้ไว้อย่างชัดเจนว่า เรายังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย แม้แต่นิดเดียว และเราไม่รู้ด้วยว่า อะไรคือการปฏิบัติธรรม
#Camouflage
15-04-2566

Wednesday Sep 06, 2023
326.อะไรที่เราคิดออกได้ นั่นยังไม่ใช่
Wednesday Sep 06, 2023
Wednesday Sep 06, 2023
บรรยายเมื่อ 25-03-2566
เรารู้มั้ยว่า เราเกิดมาพร้อมกับอะไร?
ชีวิตนี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับอวิชชา อวิชชา คือ ความหลงผิดทั้งหมดต่อชีวิตนี้
แล้วชีวิตของเรา อะไรคือจริง?
ความจริงของชีวิตนี้ที่เป็นอยู่ คือ ความหลงผิด กิเลส ตัณหา ความอยาก ความดิ้นรน ความเลวร้ายทั้งหลายที่อยู่ในจิตใจ
แต่บรรยากาศของคำสอนต่าง ๆ พยายามให้เราเปลี่ยนมัน นั่นคือความหลงผิดซ้ำสองขึ้นไปอีก คืออย่าเป็นแบบนี้ อย่ามีสิ่งเหล่านี้ ทำลายมันซะ
แต่เราทุกคนรู้ว่า คำสอนที่แท้จริงคือ เราต้องเห็นโลกนี้ตามความเป็นจริง
แต่เห็นมั้ยว่า สิ่งที่เราทำ คือ เราพยายามทำลายความจริง ไม่ใช่เห็นตามเป็นจริง
ความจริงของเราคือความลวง เพราะมันมักอยู่ข้างหน้าเสมอ
และนั่นหมายถึงเป็นสิ่งที่เราไม่มีอยู่ในตอนนี้ เช่น ความบริสุทธิ์ ความไม่มีกิเลส ความเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอรหันต์ หรือไปเป็นเทวดานางฟ้า
สิ่งที่เราเชื่อทั้งหมด สิ่งที่เป็นความเชื่อ เป็นความลวงนั้น กลับกลายเป็นความจริงในหัวใจของเรา
แต่สิ่งที่เป็นความจริงทั้งหมดในชีวิตนี้ มีอยู่จริงในตอนนี้ เรากลับมองไม่เห็นมัน อยากทำลายมัน เราไม่อยากมีมัน
#Camouflage
25-03-2566

Wednesday Aug 23, 2023
325.ทางสายกลางที่เราไม่เคยรู้จัก
Wednesday Aug 23, 2023
Wednesday Aug 23, 2023
บรรยายเมื่อ 11-03-2566
พระพุทธเจ้าบอกว่า ทางสายกลางไม่ใช่ทางสุดโต่งทั้งสองข้าง มันหมายความว่าอะไรกันแน่?
การตัดสินเป็นทุกข์ งั้นไม่ตัดสิน
กิเลสเป็นของไม่ดี งั้นไม่มีกิเลส
ฟุ้งซ่านเป็นความหลง เป็นโมหะ งั้นสงบ
ใช่ไหมว่าทั้งหมดนี้ คือทางสุดโต่งทั้งสองข้างเหมือนกัน
เห็นไหมว่า ที่เราพูดว่าตัวเองนั้นกำลังปฏิบัติตามมรรค เดินทางสายกลาง หัวใจเรา…ไม่ใช่เลย
หัวใจเราคือ ทางสุดโต่งทั้งสองข้างเหมือนเดิม
เราไม่เพียงแค่อยากอยู่อีกข้างนึง เราด่าอีกข้างนึงด้วยว่า ห่วย แย่ สกปรก
เพราะฉะนั้น ลงลึกลงไป เห็นแบบนี้ เห็นโครงสร้าง เห็นชีวิต เห็นความเป็นไปของความครอบงำจากสิ่งที่เราเชื่อทั้งหมด แบบนี้
...
ทางสายกลางจะเกิดขึ้น เมื่อเกิดความแจ่มแจ้ง ว่าอะไรในชีวิตที่เป็นความสุดโต่งบ้าง
...
การจะมีชีวิตที่จะเข้าใจของทั้งสองข้าง หรือของที่เรียกว่าความสุดโต่งทั้งสองข้าง #ชีวิตนั้นจะต้องไม่หยุด ที่จะลงลึกกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มันพอใจกับชีวิตที่เป็นแบบนี้อยู่แล้ว นั่นแปลว่า มันใช่
เราจะต้องลงลึกไป ว่ามันใช่จริงไหม
...
กว่าที่คนคนนึงจะมาถึงจุดที่สามารถจะมีชีวิตที่แท้จริงได้ ชีวิตที่พ้นออกจากทุกความคิดและความเชื่อได้
ไม่ใช่เพียงแค่ผมบอกว่า ต้องมีชีวิตแบบนั้น เพราะนั่นเป็นแค่ความเชื่อใหม่
แต่หมายถึงว่า คนคนนึงจะต้องสำรวจ ตรวจสอบ ชีวิตทั้งหมดของตัวเอง และแจ่มแจ้งกับความจอมปลอมของมันทั้งหมด
และชีวิตที่แท้จริง จึงจะสามารถเกิดขึ้นได้ และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติธรรม
11-03-2566
#Camouflage

Friday Aug 11, 2023
324.ปัจจุบันไม่มีการเลือก
Friday Aug 11, 2023
Friday Aug 11, 2023
บรรยายเมื่อ 25-02-2566
การรู้ หรือกิริยารู้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว มันไม่ใช่การฝึก ไม่ใช่ฝึกอะไรบางอย่าง เพื่อจะผ่านเข้าสู่สิ่ง ๆ นี้
การฝึกอะไรบางอย่าง มันคือ #การสร้างสิ่งใหม่ขึ้น สิ่งใหม่ที่เรารู้จักกันดีในนามของ “ผู้รู้” แล้วเราก็เรียนรู้กันมาเยอะว่า สุดท้าย ผู้รู้ คือ อวิชชาตัวใหญ่ที่สุด และเราต้องทำลายมัน และเราก็เคยหลงเชื่อว่า ถ้าเราไม่มีมัน เราจะหลง
ด้วยการสอนแบบนั้น ทำให้มนุษย์คนนึงที่อยากปฏิบัติธรรมนั้น กลัวหลง #ความกลัวหลงได้ครอบงำชีวิต จากคำสอนเหล่านั้น
เราไม่สนใจจะรู้แล้วว่า แท้จริงการรู้นั้น มีอยู่แล้ว…เราไม่สนใจแล้ว หลับหูหลับตาฝึกก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวจะหลง
เพราะนั้น แต่ละขั้นตอนของชีวิต ที่เรารับคำสอนใด ๆ มาก็ตาม ถ้าเราไม่เคยพิจารณา เห็นวิธีคิด ว่าเราได้รับอะไรบางอย่างเข้ามาต่อชีวิตนี้ เราจะถูกสิ่งเหล่านั้นหลอกเราตลอดชีวิตจนตาย
คำว่า “ปัจจุบัน” นั้น ไม่มีการเลือก
ปัจจุบัน คือ เป็นอย่างนี้ ขณะนี้
รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มันจะรับรู้
การเลือกว่าอะไรสักอย่าง เช่น ลมหายใจ หรือความรู้สึกตัว หรืออะไรก็ตามที่เราเรียนมาทั้งหมด การเลือกสิ่งเหล่านั้นสักอย่างหนึ่ง แล้วถูกให้ความหมาย ว่าการเลือกสิ่งหนึ่งนั้น คือปัจจุบัน
เราต้องเห็นกระบวนการเหล่านี้อย่างละเอียด ว่าแท้จริงแล้วการกระทำแบบนี้ เกิดขึ้นจากความจำได้ในความรู้ที่รับมานั้น
ทันทีที่เราจำได้ และทันทีที่เราเชื่อว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น จึงจะเป็นปัจจุบัน แล้วเราก็ลงมือปฏิบัติตามนั้น ชีวิตทั้งหมดนั้นได้อยู่ภายใต้กะลาของอดีตเรียบร้อยแล้ว
และหลังจากนั้น เราก็รู้สึกว่า เรารู้แล้ว นี่ไง ปัจจุบัน ปัจจุบันคืออยู่กับลมหายใจอยู่ ปัจจุบันของเราคือรู้สึกตัวอยู่ เรารู้สึกได้ถึงความเป็นปัจจุบันจริงๆ
แต่ที่ผมพูดเสมอ และพูดมานานแล้วว่า “มันเป็นแค่ปัจจุบันในอดีต”
...
คำว่าปัจจุบันนั้น ไม่มีการเลือก
คำว่า ไม่มีการเลือก หมายความว่า หัวใจของชีวิตที่เป็นปัจจุบันนั้น ไม่มีความแบ่งแยก ไม่มีอะไรดีกว่าอะไร
รู้ว่ามีลมหายใจเกิดขึ้น กับรู้ว่ามีความคิดเกิดขึ้น...เท่ากัน
รู้ว่าขณะนี้ไม่มีความปรุงแต่งใด ๆ รู้ว่าขณะนี้มีความปรุงแต่งเกิดขึ้น...เท่ากัน
...
เราสามารถคิดออก ว่าภาพในอนาคตที่เราจะเป็น มันเป็นยังไง เราจะเป็นอย่างนั้น ได้ความรู้สึกแบบนั้น เราพอจะคิดออก
นี่คือนัยยะของการปฏิบัติตามรูปแบบของความคิดอันหนึ่ง ที่เราเชื่อ
แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง สิ่งที่เรียกว่า “ปัจจุบัน” สิ่งที่ผมเรียกว่า “ชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4”
มันไม่สามารถให้ความรู้สึกถึงการคาดเดา การคาดการณ์ หรือความรู้สึกก้าวหน้า หรือการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีความรู้สึกทั้งหมดนี้ที่ผมพูดเลย
เพราะชีวิตที่เป็นปัจจุบัน และเป็นอริยสัจ 4 ไม่มีใคร คอยได้รับ หรือตัดสินตัวเองว่า ไม่ได้รับอะไรทั้งนั้น
และกระบวนการของชีวิตที่เป็นปัจจุบันนี้เอง คือการที่ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งจะได้รู้จักกันเปลี่ยนผ่านอย่างฉับพลันและสิ้นเชิง
โดยที่ผลลัพธ์บางอย่างที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านนี้ของชีวิต จะเป็นสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่ง ไม่สามารถจะคิดออกได้เลยว่า มันจะเป็นแบบนี้
#Camouflage
25-02-2566

Friday Jul 28, 2023
323.ชีวิตที่หยั่งวัดไม่ได้
Friday Jul 28, 2023
Friday Jul 28, 2023
บรรยายเมื่อ 11-02-2566
คำว่า “มายา” เป็นภาษาสันกฤต คำแปลหนึ่งคือ สิ่งที่วัดได้ ประเมินค่าได้ เรียกว่าให้มูลค่าหรือคุณค่า หรือหยาบๆ ก็คือ วัดกว้าง ยาว สูง ได้
เราปฏิบัติธรรม เราต้องการจุดจบ จุดจบนั้น คืออะไร?
คือ ไม่มีกิเลส ไม่กระเทือน ไม่มีตัวตน บริสุทธิ์ มีศีลบริบูรณ์ มีสติบริบูรณ์ หรือกระทั่งจุดจบ คือการที่เราไม่ต้องการเกิดอีกแล้ว แล้วเราเชื่อเรื่องจุดจบทั้งหมดนี้ ว่าเป็นเป้าหมายที่เราจะไปถึง และเราทำทุกอย่างที่ถูกเรียกว่า วิธีปฏิบัติธรรม แลกด้วยชีวิตก็ยอม เพื่อไปถึงจุดจบนั้น
จุดจบทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่วัดค่าได้ เป็นสิ่งที่ถูกพูดออกมาให้เป็นรูปธรรมอันหนึ่งได้ เป็นรูปแบบนึงของชีวิตที่เรานึกภาพออกได้ และสิ่งใด ๆ ก็ตามที่วัดค่าได้ สิ่งนั้นเป็นมายา
...
ชีวิตนี้ถูกตีตรา วัดค่า ประเมินค่าอยู่ตลอดเวลา และถ้าชีวิตเรานี้ ยังเป็นชีวิตที่ถูกอะไรบางอย่างภายนอก วัดค่าเข้ามาได้ นั่นแปลว่า ชีวิตทั้งชีวิตของเราในทุกลมหายใจ เป็นแค่มายา
ทั้งแท่งของชีวิตของเรานั้น ปลอม
เราไม่เคยรู้จักชีวิตที่หยั่งวัดไม่ได้
ชีวิตที่วัดค่าได้เป็นมายา ชีวิตที่ไม่เป็นมายา คือ ชีวิตที่หยั่งวัดค่าไม่ได้
การปฏิบัติธรรมคือการค้นพบชีวิตแบบนั้น
แต่เราไม่ทำแบบนั้นกัน เราเสียเวลา 10 20 30 ปี ตลอดชีวิตของเรา ปฏิบัติธรรมภายใต้มายา ภายใต้ชีวิตที่คอยประเมินและวัดค่าชีวิตนี้อยู่ตลอดเวลา เราหลงอยู่ในนั้น
...
อะไรคือชีวิตที่หยั่งวัดค่าไม่ได้ ผมจะตอบได้ยังไง ในเมื่อมันหยั่งวัดค่าไม่ได้
เมื่อเราพบว่า ชีวิตที่หยั่งวัดได้ทั้งหมด ยังไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง ประตูจะค่อย ๆ เปิดออก ความหลงผิดจะค่อย ๆ หายไป
กระบวนการที่จะรู้จักว่า ชีวิตแบบไหนที่ไม่จริงบ้าง คือกระบวนการที่เรียกว่า “ความแจ่มแจ้ง” ในชีวิตนี้
ความแจ่มแจ้งในกระบวนการทั้งหมด ที่กำลังเกิดขึ้นและชี้นำชีวิตนี้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า “อริยสัจ 4”
...
ชีวิตไม่มีจุดจบ เพราะชีวิตเป็นจุดจบอยู่แล้ว
ชีวิตนั้นเป็นกระแสที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่ความไม่สิ้นสุดนั้นเอง คือจุดสิ้นสุดของมัน
ความไม่สิ้นสุดนั้นเอง คือความเข้าใจว่าชีวิตนี้ไม่สิ้นสุด คือความสิ้นสุดของชีวิตนี้
ชีวิตคือสิ่งที่เคลื่อนไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น แม้เราตาย มันก็ถูกกระจายออกไปเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วทุกอย่างก็เคลื่อนต่อไป เปลี่ยนแปลงต่อไป ไม่มีวันจบ
เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นจุดจบทั้งนั้น
แล้วเราถึงจะเข้าชีวิตที่แท้จริง
ชีวิตที่แท้จริง คือ ชีวิตที่หยั่งวัดไม่ได้
#Camouflage
11-02-2566

Thursday Jul 20, 2023
322.เพราะไม่เข้าใจความสุข
Thursday Jul 20, 2023
Thursday Jul 20, 2023
บรรยายเมื่อ 08-02-2566
ชีวิตเราอยู่ใน Process ไม่แจ่มแจ้งตัวเอง...วิ่งแสวงหาความสุข ไม่แจ่มแจ้งตัวเอง...วิ่งแสวงหาความสุข ไม่แจ่มแจ้งตัวเอง...วิ่งแสวงหาความสุข กลบ “ขณะนี้” ไปเรื่อยๆ
อะไรทำให้เราอยู่ที่นี่ไม่ได้?
อะไรที่ทำให้เราต้องออกแสวงหา ออกไปได้รับ?
แปลว่า สิ่งนั้นยังไม่ถูกเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ว่าการได้รับสิ่งนั้นคืออะไร ให้ความสุขอย่างไร ทำให้เราพอใจได้อย่างไร
เราไม่เพียงจะต้องแจ่มแจ้งกับตัวเองในขณะนี้ว่า ดิ้นรนแล้ว ทนไม่ไหว ไม่อยากอยู่กับตัวเอง อยากได้ความสุข
แต่เราจะต้องแจ่มแจ้งต่อสิ่งที่จะไปถึงด้วยว่า เราจะได้รับอะไร ผัสสะแบบไหนที่เราต้องการ ได้รับแล้วเป็นอย่างไร มันให้ความสุขเราอย่างไร
ถ้าสิ่งที่จะไปถึงนั้นถูกแจ่มแจ้ง ทุกอย่างจะเปิดออกหมด และอะไรก็ตามที่ถูกเปิดออกหมด จะไม่มีอะไรให้น่าสนใจอีกแล้ว
และตัวที่อยากได้ความสุขนั้น จะหมดที่ไป จะอยู่ที่นี่ และจะไม่มีไอเดียของการแสวงหาความสุข
จริง ๆ แล้ว ไอเดียของการแสวงหาความสุขนั้นเอง ก็คือความทุกข์ในขณะนี้ เพราะไม่เข้าใจความสุขข้างหน้า จึงเกิดไอเดียนั้น ที่จะแสวงหา และได้รับไปเรื่อย ๆ
แต่ทันทีที่ความสุขถูกเข้าใจ ไอเดียที่ถูกกระตุ้นเร้า ให้ไปแสวงหานั้นจะหายไป เพราะไม่มีความสุขข้างหน้าที่รออยู่ ไอเดียที่จะหาความสุขนั้น ก็เกิดขึ้นไม่ได้
เมื่อไอเดียที่จะแสวงหานี้เกิดไม่ได้ ในขณะนี้ที่บอกว่า มันเป็นทุกข์ และต้องการการเติมเต็มหรือต้องการได้รับบางอย่าง มันก็ไม่มีความรู้สึกนี้ด้วย
#Camouflage
08-02-2566

Wednesday Jul 12, 2023
321.เก็บเล็กเก็บน้อยต่อจากคลิป 320
Wednesday Jul 12, 2023
Wednesday Jul 12, 2023
บรรยายเมื่อ 28-01-2566

Thursday Jun 29, 2023
320.ใส่ใจ...ความไม่หลง
Thursday Jun 29, 2023
Thursday Jun 29, 2023
บรรยายเมื่อ 28-01-2566
ธรรมชาติของมนุษย์เรานั้น จะมีความใส่ใจต่อชีวิต ก็ต่อเมื่อมีความทุกข์ เพราะเราทุกคนไม่อยากทุกข์
ถ้าเราจน เราจะหาทางรวย
ถ้าเราทุกข์ เราจะหาทางมีความสุข
ถ้าเราโดนบีบบังคับ เราจะหาทางอิสระ
นี่คือกระบวนการดิ้นรนที่ตื้นที่สุดของมนุษย์
คนที่เห็นความตื้นเขินของความดิ้นรนแบบนี้ เขาจะเริ่มใส่ใจชีวิต เริ่มใส่ใจว่า
...เขาทุกข์ได้ยังไง?
...ความทุกข์มาจากไหน?
...ทำไมถึงเกิดความดิ้นรนแบบนี้?
แต่เบื้องต้น เราใส่ใจเฉพาะความทุกข์ที่ใหญ่ ๆ ความทุกข์ที่หนักหนาเท่านั้น เพราะมันสร้างภาระที่หนักหนาให้กับชีวิตมาก
ในขณะที่ผมกำลังบอกว่า #เราต้องใส่ใจกับทุกเรื่อง ไม่ว่าความทุกข์นั้นจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
เพราะไฟกองเล็กนั้น สามารถจะกลายเป็นกองใหญ่ได้เสมอ และไฟกองใหญ่นั้น มักจะเกิดขึ้นจากกองเล็กเสมอ
ถ้าเราใส่ใจแต่ไฟกองใหญ่ มันเหมือนว่าเราพยายามจะดับไฟกองใหญ่ และความใส่ใจของเรามีแค่น้ำ 1 ถัง แค่นั้น
เราได้เพียงทำให้กองไฟนั้นเล็กลง แต่ไม่ได้ดับไป
และเมื่อกองไฟนั้น เล็กลงแล้ว นั่นหมายความว่า ความทุกข์เบาบางลงแล้ว
นั่นหมายความว่า เรารู้สึกมีความสุขขึ้นแล้ว
และนั่นหมายความว่า ที่เหลือช่างมันเถอะ
และนั่นหมายความว่า ชีวิตเป็นความปล่อยปละละเลย
และนั่นหมายความว่า ชีวิตเป็นความหลงเหมือนเดิม!
ผมไม่ได้บอก ให้เราแค่ใส่ใจต่อความทุกข์ แต่ผมบอกว่า เราต้องใส่ใจต่อ #การแสวงหาความสุขด้วย
และใส่ใจไปถึง #การได้รับความสุขด้วย
และใส่ใจไปถึงว่า #อะไรกันแน่ที่เป็นตัวรับความสุข
จนเรามีความชัดเจนและแจ่มแจ้งในเรื่องของความสุข
ผมเคยพูดว่า ความสุขนั้นมีส่วนของระดับพื้นฐาน และมีส่วนของความสุขที่เกิดขึ้นจากความปรุงแต่งของความคิด ในการได้รับความสุขนั้น ๆ
และส่วนที่เป็นความปรุงแต่งจากความคิด ในการได้รับผัสสะอะไรก็ตามในขณะนั้น เป็นส่วนที่มนุษย์เราเสพติด
แต่ส่วนความสุขขั้นพื้นฐานที่ไม่เกี่ยวข้องกับความปรุงแต่งต่อผัสสะนั้น ๆ เป็นความสุขที่มนุษย์มีความสามารถที่จะรับได้ โดยไม่ถูกครอบงำให้เสพติด
บทสรุปแบบนี้ ที่ผมบอกเราทุกคน ไม่ได้เกิดขึ้นภายในวันเดียว เหตุการณ์เดียว และไม่ใช่ทฤษฎี ที่บอกว่า เราต้องเข้าไปศึกษาที่ตรงนี้
แต่บทสรุปแบบนี้ เกิดขึ้นจากการที่เราใส่ใจ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ผมบอก คือ การแสวงหาความสุข
และเข้าใจแจ่มแจ้งในการได้รับความสุข และแจ่มแจ้งว่าอะไรคือความสุข
เราต้องเริ่มจาก ที่ที่ตื้นที่สุด ปรากฏอยู่ข้างหน้าเราชัดที่สุด และลึกลงไปในนั้นด้วยตัวเราเอง
และนอกจากนี้ เรายังต้องแจ่มแจ้งว่า #ความคิดนั้น ควบคุมชีวิตยังไง ไอเดียต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมามากมาย ตลอดทั้งวัน มันกำหนดทิศทาง และควบคุมชีวิตเรายังไง
เมื่อความคิดหนึ่งเกิดขึ้น ไอเดียหนึ่งเกิดขึ้น เกิดอะไรขึ้นต่อ เกิดอะไรขึ้นอีก?
เกิดสารคัดหลั่งอะไร ที่มันบีบบังคับ ส่งผลแห่งความบีบคั้นบางอย่างให้กับเรา ให้กับชีวิตนี้?
เราเคยเห็นกระบวนการทำงานของความคิดจริง ๆ ไหม?
หรือชีวิตเราเป็นแค่ ชีวิตที่อยู่ภายใต้ความคิด และแจ่มแจ้งในเนื้อเรื่องและความรู้สึกต่าง ๆ ขณะที่ชีวิตกำลังอยู่ภายใต้ความคิดนั้น
เราแจ่มแจ้งความคิด หรือเราแจ่มแจ้งเรื่องราวของความคิด?
...
เราอาจจะคิดว่า ถ้าเราใส่ใจทั้งหมดแบบที่ผมบอกนี้ แล้วชีวิตเราจะเหลืออะไร?
เราจะไม่ได้รับความสุข หรือการได้ทำอะไร ที่เราชอบ หรือที่เราสนใจเลยอีกไหม?
ชีวิตคงจะจืดชืด และดูไม่น่ามีความสุขเลย
สิ่งที่ผมจะบอกได้ก็คือ มันเหมือนจะเป็นอย่างที่เราคิดนั่นแหละ แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว
มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดหรอก แต่ก็ไม่ใช่ ไม่เป็นอย่างที่เราคิด
เราคิดไม่ออกหรอกว่า จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เมื่อชีวิตทั้งชีวิตไม่เป็นความหลงอีกแล้ว
เราคิดออกแต่ว่า ถ้าชีวิตไม่เป็นความหลงอีกแล้ว ชีวิตจะเป็นสีขาว
จะไม่เป็นอย่างนั้นหรอก จะไม่ทำอย่างนี้หรอก จะไม่นู้น ไม่นี้ ไม่นั้น นี่คือสิ่งที่เราคิด และนั่นเป็นความหลงเหมือนกัน
เราอาจจะไปถ่ายรูปเหมือนเดิม แต่หัวใจทั้งหมดของเราเปลี่ยนไป เราอาจจะชื่นชมกับการเห็นนก เห็นขนนก เห็นการกระทำอะไรของมัน แต่หัวใจเราไม่เหมือนเดิม
#ความแจ่มแจ้งนั้น เป็นความสามารถในการได้รับความสุขโดยที่ไม่หลง
เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ไม่ได้เป็นท่อนไม้ ไม่ได้เป็นก้อนหิน
แต่เป็นบุคคลที่มีความสามารถ ที่จะใช้ชีวิตนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพของมัน ที่ไม่ใช่การเลือกข้าง อยู่ข้างใดข้างหนึ่ง
และการที่คนคนนึงไม่ต้องเลือกข้าง อยู่ข้างใดข้างหนึ่ง นั่นคือ อิสรภาพ
#Camouflage
28-01-2566

Friday Jun 23, 2023
319.เกมส์ของอวิชชาที่ต้องการพัฒนาตัวเอง
Friday Jun 23, 2023
Friday Jun 23, 2023
บรรยายเมื่อ 14-01-2566
ความแจ่มแจ้งในชีวิตเป็นความฉับพลัน ทันที ไม่ใช่การฝึก
สิ่งเดียวที่ต้องมีในความฉับพลันนั้นคือ สิ่งแวดล้อมต่อชีวิตนี้ วิเวก สันโดษ เงียบ
และแจ่มแจ้งในโครงสร้างของชีวิตที่เกิดมาว่า สิ่งที่บงการชีวิตนั้น ด้วยความคิดทั้งหลาย หรือด้วยความรู้ทั้งหลาย หรือด้วยแนวคิดที่จะเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ #แจ่มแจ้งในความลวงหลอกทั้งหมดนี้ และไม่ไหลไปตามนั้น
ชีวิตของผมทั้งหมดคือ มีแต่รู้ว่าอะไรไม่ใช่ แต่พวกเรานักปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติธรรมในเชิงที่ พอสำเร็จอันนี้...อืม ใช่แล้ว พอได้อย่างนี้...เอ น่าจะอย่างนั้นมากกว่า พอได้อะไรอีก...อื้มม อย่างนี้ใช่กว่า
เรามีแต่ “ใช่” กับ “ใช่กว่า”
ของผมมีแต่ “ไม่ใช่” ไอนี่..ไม่ใช่ ไอนั่น..ไม่ใช่ ทุกวันผมมีแต่ “ไม่ใช่”
#เพราะธรรมะไม่มีจุดยืน ไม่มีที่ตั้ง
ถ้าทันทีมีคำว่า “ใช่” เช่น “ในชีวิตเรา เป็นแบบนี้แหละ ใช่แล้ว” นั่นคือปัญหา
ตัวที่เห็นแจ้งนี้ มันไม่เคยได้รับอะไร มันรับอะไรไม่ได้ มันเลยใช่ไม่ได้เหมือนกัน
เราต้องเข้าใจว่า เราไม่สามารถจะเป็นอะไรได้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ ที่ถูกเรียกว่า โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ มันเป็นไม่ได้ ไม่มีใครจะเป็นได้
ถ้ามีใครสักคนเป็นได้ #คนคนนั้นอยู่ในกระบวนการของการพยายามที่จะวิวัฒนาการอวิชชานี้ แค่นั้น เขาถึงรู้สึกว่า “เราเป็นสิ่งนั้น เราถึงที่นั่นแล้ว”
การที่เรารู้สึกว่า เราถึงที่ไหนก็ตาม นั่นคือจุดยืน นั่นคือที่ตั้ง
ในความจริง การถึงที่ไหนก็ตาม เป็นแค่ #Condition ใหม่ในชีวิตขณะนี้ แค่นั้น
ไม่ว่าจุดไหนก็ตามที่เราไปถึง ดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าเรารู้ทัน มันเป็นแค่ Condition ใหม่ในชีวิต หรือในจิตขณะนี้ แค่นั้น
แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และไม่มีใครไปเป็นมันได้คือ #ความแจ่มแจ้ง
ความแจ่มแจ้งหรือจิตวิชชานี้ ไม่มีความสามารถในการรับอะไร ได้รับความสุข ได้รับความทุกข์ ได้รับความพ้นทุกข์ ได้เป็นอะไร มันไม่มีความสามารถนั้น
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มันรู้ มันเพียงแต่รู้โครงสร้างของขณะนี้แค่นั้น และไม่ว่าความคิดจะบอกว่า ขณะนี้เป็นอะไร ทั้งหมดก็คือ Condition
เพราะฉะนั้น การที่จะมีใครสักคนนึง เป็นอะไรขึ้นมา เขาแค่ได้ Condition ใหม่เฉย ๆ แค่นั้น
#Camouflage
14-01-2566

Thursday Jun 15, 2023
318.เมื่อเราไม่รู้...ว่าเรางมงาย
Thursday Jun 15, 2023
Thursday Jun 15, 2023
บรรยายเมื่อ 31-12-2565
สิ่งที่ผมสอน ไม่ใช่วิธีปฏิบัติธรรม ถ้าเราจะหาวิธีปฏิบัติธรรมจากผมนั้น…ไม่มี
สิ่งที่ผมสอน คือชีวิต #ผมสอนให้เราเข้าใจตัวเอง เข้าใจโครงสร้าง ความผลักดัน การหลบหนี การปกป้องตัวเอง เห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ที่มีอยู่ในชีวิตของเรา
เห็นมัน ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงมัน
เห็นมัน ไม่ใช่ตัดสินมัน
เห็นโครงสร้างความเชื่อทั้งหมดที่ครอบงำชีวิตนี้
เราเกิดมาในโลกนี้ สังคม การเมือง ศาสนา ความดี ความชั่ว ความถูก ความผิด
เห็นทั้งหมดนี้ ว่ามันครอบงำชีวิตนี้ยังไงบ้าง
เห็นทั้งหมดนี้ ว่ามันบงการและให้ทิศทางชีวิตนี้ยังไงบ้าง
เห็นอย่างละเอียด
เห็นไหมว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ผมไม่ได้บอกให้พวกเราไปทำอะไร ไปฝึกอะไร ผมบอกให้พวกเราเห็นกลับมาที่ตัวเอง ตรวจสอบตัวเอง ตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ว่าสิ่งที่เรียกว่าตัวเราเอง มันมีรายละเอียดอะไรบ้าง
ในทุกวันที่เราตื่นขึ้นมา ความอยาก ความต้องการ กิเลส ตัณหา ความเชื่อ ความคิดที่เรายึดถือ สิ่งเหล่านี้กำหนดทิศทางชีวิตยังไงบ้าง แล้วมันจริงมั้ย?
…
ผมสอนเราทุกคนตลอดว่า ชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมนั้น เกิดขึ้นจากที่คนคนนึง #มีความสามารถที่จะมีชีวิตที่แท้จริงได้ และชีวิตที่แท้จริงนั้นจะเกิดขึ้นได้...
...เมื่อชีวิตเป็นความชัดเจน
...เมื่อชีวิตนั้นไม่ถูกปกคลุมไปด้วยความเชื่อและความกลัว
มีเพียงชีวิตแบบนี้เท่านั้น ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เราอยากทำที่สุด คือการปฏิบัติธรรม
เพราะฉะนั้น จริง ๆ คำว่าปฏิบัติธรรมนั้น ไม่มีความสำคัญเลย สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เราสามารถจะมีชีวิตที่แท้จริงได้มั้ย? และการที่คนคนนึงจะมีความสามารถที่จะมีชีวิตที่แท้จริงได้นั้น เป็นสิ่งที่ยากที่สุด ยากกว่าการปฏิบัติธรรม
เพราะเราทุกคนเติบโตขึ้นมาภายใต้ความเชื่อ ความครอบงำของไอเดีย ในเชิงถูก ผิด ดี ชั่ว ที่สังคมและศาสนามอบไว้ให้กับเรา
การที่เราจะออกมาจากความครอบงำของทั้งหมดนั้น เป็นจุดเริ่มต้น และเป็นจุดเริ่มต้นที่ยากที่สุด
เราไม่สามารถจะรู้จักโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ภายใต้กะลามืด ๆ ที่ครอบเราเอาไว้
เพราะฉะนั้น จุดเริ่มต้น คือ #ออกจากกะลาทุกใบที่ครอบเราอยู่
...
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่า มันเป็นเพียงแค่การพลิกของคว่ำให้หงายขึ้น หรือเป็นการเปิดกะลานั่นแหละ
ก่อนที่เราจะปฏิบัติธรรม เราต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ นี่คือเรื่องที่จะเกิดขึ้นก่อนการปฏิบัติธรรม และสิ่งที่อยู่ก่อนหน้าการปฏิบัติธรรมนั้น คือสิ่งที่ยากที่สุด และสำคัญที่สุด
และการที่มันจะเกิดขึ้นได้...ชีวิตที่แท้จริงแบบที่ผมบอกนี้จะเกิดขึ้นได้...กะลาใบนี้จะเปิดออกได้ ไม่ได้ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว วันเดียว #แต่ใช้ทั้งชีวิต
เราต้องสงสัยทุกอย่างที่ครอบงำชีวิตนี้อยู่
ลงลึกเข้าไปในสิ่งที่มีคนบอกให้เราเชื่อ
เรามีความครอบงำหลายอย่าง เช่น ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ก่อให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง? ก่อให้เกิดชีวิตที่ผมบอกว่า “งั้นเชื่อไปก่อนแล้วกัน” ก่อให้เกิดอะไรอีก? เชื่อไปก่อนเพราะอะไร? เพราะกลัว ก่อให้เกิดอะไรอีก? ก่อให้เกิดนิสัยที่ต้องการสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเอง
แค่คำสอนหรือคำบอกเล่าอันเดียว และเรามักง่ายที่จะ “เออ ทำตามนั้นนั่นแหละ อย่าไปลบหลู่เลย” และเราคิดสั้น ๆ ตื้น ๆ ของเราแค่ว่า เราเป็นคนดี คือเราจะไม่ลบหลู่ เราคิดแค่นั้นจริง ๆ เพราะถ้าลบหลู่ นี่แปลว่าเป็นคนไม่ดี ปากไม่ดี
แต่ถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมแบบที่ผมบอกนี้ เราจะต้องเห็นโครงสร้างของชีวิต ว่าคำ ๆ นี้ส่งผลอะไรบ้างแบบที่ผมบอกทั้งหมดเมื่อกี้นี้ แล้วถ้าเราตกอยู่ภายใต้อันนั้น ชีวิตเราก็เป็นความไม่ชัดเจน เป็นชีวิตที่ไม่จริง และถ้าเป็นแบบนั้น ชีวิตไม่ใช่เป็นการปฏิบัติธรรม
นี่เป็นอีกตัวอย่างนึงที่กำลังบอกว่า ชีวิตเราหลงอีกแล้ว
...
การปฏิบัติธรรมนั้น แท้จริงไม่ต้องมีคนสอน เราแค่ต้องการคนทุบกะลาบนหัวเราแค่นั้น และเมื่อกะลาแตกออก ชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมนั้น จะเกิดขึ้นเอง อย่างสมบูรณ์ที่สุด
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมสอน ไม่ใช่การเพิ่มความเชื่อ เพิ่มความงมงาย เพิ่มความศรัทธาให้กับพวกเรา
สิ่งที่ผมสอน คือการเอาทั้งหมดนั้น #ทิ้งออกไป
#Camouflage
31-12-2565

Friday Jun 09, 2023
317.ชีวิตที่แท้จริง...ไม่ได้มาง่ายๆ
Friday Jun 09, 2023
Friday Jun 09, 2023
#ชีวิตที่เป็นจริงนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ที่เราทุกคนซึ่งกำลังแสวงหาความจริง จะต้องมีให้ได้ และมันไม่ได้มีด้วยการฝึกปฏิบัติอะไรทั้งนั้น
แต่มันมีด้วยการที่ #มนุษย์คนนึงสงสัยทุกอย่างที่ตัวเองกำลังจะไปทำ สงสัยทุกอย่างที่มนุษย์ สังคม และตัวเราเอง ให้การยอมรับและเชื่อถือ
ถ้าเราไม่เคยเริ่มชีวิตแบบนี้เลย หรือมีแต่น้อยมาก แทบจะจำไม่ได้ว่าเคยทำแบบนั้น นั่นแปลว่า เรายังไม่เคยมีชีวิตที่แท้จริงเลย และเราไม่มีโอกาสจะไปถึงที่นั่น
และนั่นหมายความว่า เราคือคนที่ยังไม่มีปัญญาในการนำชีวิตนี้
ถ้าเราไม่มีปัญญาในการนำชีวิตนี้ และยังหลงผิด มั่นใจในตัวเอง ว่าตัวเองรู้แล้ว นี่คือปัญหาที่หนักที่สุด
ผมไม่สามารถจะบอกนิยามของการมีชีวิตที่แท้จริง ว่าคืออะไรได้ เพราะสิ่งที่ผมพูดถึงนั้น พูดถึงไม่ได้
แต่สิ่งที่ผมบอกได้ก็คือ ถ้าใครสักคนนึงเข้ามาหาผม ต้องการคำแนะนำบางอย่างจากผม เช่น เขาควรไปทำแบบนี้ไหม เขาควรไม่ทำแบบนั้นไหม เขาคิดอย่างนี้ถูกไหม ผมจะบอกสิ่งเหล่านั้นให้กับคนที่เข้ามาหาผมนั้นได้ ว่าสิ่งเหล่านั้นยังไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง
และเมื่อคนคนนึงได้รู้จักสิ่งที่เขาคิดอยู่ทั้งหมด เชื่ออยู่ทั้งหมด ว่ามันยังไม่ใช่ คนคนนั้นมีโอกาส...มีโอกาสที่จะเริ่มรู้จักว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง
#เราจะแจ่มแจ้งว่าอะไรจริง
#เราต้องรู้จักว่ามันไม่จริงยังไง
#ไม่ใช่การแสวงหาความจริง
แต่ต้องแจ่มแจ้งกับความลวงหลอกทั้งหมด ที่หล่อหลอมชีวิตของเราขึ้นมาตั้งแต่เด็กจนโต
สังคม การเมือง ศาสนา ความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในหัวสมองของเรา เราต้องแจ่มแจ้งกับมันทั้งหมด ไม่ใช่แค่ ทำตาม ๆ กันไป
คนไม่ดี เราก็เรียกว่า ทำตามกิเลส...กิเลสฝ่ายชั่ว คนดีก็ทำตามกิเลส ฝ่ายสีขาว ในอภิธรรมท่านจะอธิบายว่า ทั้งสองอย่างนี้คือ “มาร”
แต่เพราะเราไม่แจ่มแจ้งในสิ่งทั้งหมดที่ประกอบเป็นเราขึ้นมา เราจึงถูกมารหลอกอยู่เสมอ และมารที่ฉลาดที่สุด คือ #ดี
คนดี ถ้าใครชวนไปทำเรื่องดี ๆ เขาจะไปทันที เขาจะไม่สงสัยอะไร เขาจะไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองขณะนี้ เขาจะไม่ใส่ใจกับสิ่งที่กำลังจะไปทำตามที่เพื่อนบอก เขาจะไม่สงสัยอะไรทั้งนั้น
เหตุผลที่คนคนนึงไม่สงสัยอะไรเลย นอกจากไม่มีปัญญาแล้ว แต่ด้วยเพราะสิ่งนั้นมันดี คุณสมบัติของมันนั้นไม่มีความน่าสงสัยในคนไม่มีปัญญา
และถ้าเราแจ่มแจ้งในดี ในไม่ดี ชีวิตจะเริ่มเป็นจริงขึ้นมา เป็นชีวิตที่อยู่เหนือดีเหนือชั่ว เหนือถูกเหนือผิด ชีวิตแบบนี้ต้องเกิดขึ้นก่อนที่คนคนนึง จะเรียกตัวเองว่า “บรรลุธรรม”
ถ้าไม่มีชีวิตแบบนี้ ความหวังที่จะบอกว่าเราจะบรรลุธรรมนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องหวังเรื่องแบบนั้นเลย
เมื่อชีวิตนั้นอยู่เหนือดีเหนือชั่ว เหนือถูกเหนือผิด ชีวิตจะเหลืออะไร?
เหลือแค่คุณสมบัติอันสำคัญที่สุดต่อชีวิตนี้ คือ #ความใส่ใจ
ความใส่ใจต่อทุกกิจกรรม ทุกย่างก้าว ของชีวิตนี้ ที่จะทำอะไร ในแต่ละวัน ในแต่ละเวลา
ความใส่ใจอย่างลึกซึ้ง ความใส่ใจอย่างถึงรากถึงโคน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยก็ตามที
เพราะฉะนั้น ชีวิตที่เป็นจริง จึงเป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้คนคนนึง มีคุณสมบัติที่หลงเหลือในชีวิตนี้ เพียงแค่อย่างเดียวคือ ความใส่ใจต่อชีวิตนี้
ไม่ใช่วัน ๆ คิดว่า จะไปทำอะไรดี หรือคิดว่าชีวิตนี้ดีจังเลย เราเกิดมามีบุญนะ เจอแต่เรื่องดี ๆ มีแต่เพื่อนดี ๆ
เราจะไม่ได้คิดถึงชีวิตในเชิงแบบนั้น มันคงเหลือแค่ความใส่ใจต่อทุกขณะของชีวิตแค่นั้น
พอฟังว่า “ทุกขณะ” บางทีเราคิดว่า เห็นจิตเกิดดับ ว่องไว รวดเร็ว เปลี่ยนแปลง นี่เราก็เพ้อเจ้อไปแบบนั้นได้เหมือนกัน
แต่คำว่า ทุกขณะ ผมหมายถึง ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต ในแต่ละวัน ทุกความคิด ทุกการชี้นำ ของความคิด ของกิเลส ของความเชื่อ #ใส่ใจต่อมันอย่างสุดซึ้ง ว่ามันคืออะไรกันแน่ ไม่ใช่พรวดพราดไปทำ ตามความหลงผิด แบบที่เคยทำมาทั้งชีวิต
ถ้าเรามีชีวิตที่แท้จริง
เราจะไม่ใช่ทั้งคนดี ไม่ใช่ทั้งคนไม่ดี
#เราจะเป็นคนจริง
และความเป็นคนจริงนั้น ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้
และถ้าเราเริ่มตั้งแต่วันนี้ เราจะมีโอกาส ที่วันนึงชีวิตนี้จะพลิก เราจะได้รู้จักความเป็นคนจริง ที่สมบูรณ์ขึ้นเรื่อย ๆ
ความเป็นคนจริงนั้น เป็นชีวิตที่พ้นจากทุกความเชื่อ ชีวิตที่ไม่สนใจเรื่องราวงมงายทั้งหลาย พิธีกรรม ความศักดิ์สิทธิ์ รูปแบบประเพณี วัฒนธรรม
#มันคือชีวิตใหม่ ชีวิตที่กระบวนทัศน์ในการมองโลก มองชีวิตทั้งหมดของตัวเอง เปลี่ยนใหม่หมด เหมือนคนเกิดใหม่
มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นลักษณะของค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง จากการฝึกอะไรบางอย่าง
มันเป็นความฉับพลัน
และผลของมันนั้น เราจะไม่มีไอเดียว่ามันเกิดขึ้นจาก...เพราะเราฝึกมาแบบนี้ เพราะเราสะสม สั่งสม สิ่งต่าง ๆ ความรู้ต่าง ๆ ในอดีต ไม่ว่าสภาวะอะไรดี ๆ เกิดขึ้นกับเรา เช่น เราเคยเห็นโลกนี้ว่างจากความเป็นคน ไม่มีใคร เราจะไม่มีไอเดียเหล่านั้น มันไม่ได้เกิดขึ้นจากอดีต
ความรู้ทั้งหมดที่เราเก็บมันเอาไว้ในสมองของเรา
ความเชื่อทั้งหมดที่เราเก็บไว้ในสมองของเรา
คุณค่าทั้งหลายที่เราเก็บไว้ในสมองของเรา
ทั้งหมดนั้น คือตัวขวางกั้นโอกาสในการพลิกชีวิต
เพราะฉะนั้น การที่คนคนนึงจะสามารถมีชีวิตจริง ๆ ได้ คือ #ต้องมีความใส่ใจและสงสัย ต่อข้อมูลความเชื่อทั้งหมดที่มนุษย์และตัวเราเองให้การยอมรับ และให้คุณค่ากับมัน และเก็บมันไว้อยู่ข้างในสมอง และในใจนี้
ถ้าเราไม่เคยทำแบบนี้เลย นี่คือตัวแสดงอันหนึ่ง ที่บอกว่าชีวิตเราไม่เคยจริงเลย
และการที่คนคนนึงจะสามารถล้วงลึก ลงลึก ไปในความเชื่อของตัวเองทั้งหมดได้ คุณสมบัติสำคัญมากที่สุดที่ต้องมี คือ #ความเด็ดเดี่ยว
เพราะความเชื่อทั้งหมดคือ ตัวแทนของอัตตา คือตัวแทนของกู
การจะทำลายความเชื่อ หรือแจ่มแจ้งต่อสิ่งที่ตัวเองเคยเชื่อทั้งหมดนั้น คือ การฆ่าตัวกู
และถ้าเราไม่เด็ดเดี่ยวพอ ไม่มีคุณสมบัติที่เรียกว่าเด็ดเดี่ยว เราไม่มีวันลงลึกไปถึงที่สุดของมัน
เราจะเหลือมันเอาไว้ เราอยากจะเหลือสิ่งที่เราเชื่อเอาไว้ เพราะมันสบายใจ เราชอบแบบนั้น เราชอบความเป็นเรา เราชอบความที่เราได้เป็นคนแบบนี้ คนที่เชื่อแบบนี้ เราชอบตัวเอง เข้าใจไหม?
และถ้าเรามีความเด็ดเดี่ยวนี้ ความเด็ดเดี่ยวนี้จะแผ่ขยายออกมา ขยายมาจนเราสามารถจะเลือกชีวิตที่เป็นจริงได้
เหมือนผมเคยบอกทุกคนว่า ผมออกมาจากบ้าน ไม่ได้ต้องการออกมาปฏิบัติธรรม ผมออกมา เพื่อจะมีชีวิตจริงๆ
และคำคำนี้ คำว่า “ชีวิตจริง ๆ” ที่ผมบอกว่ามันอธิบายไม่ได้ แต่ผมบอกได้เลยว่า อะไรไม่จริง
คำ ๆ นี้จะเกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคนได้ คุณสมบัติที่สำคัญที่สุด ที่เราต้องมี คือ “ความเด็ดเดี่ยว”
นี่คือสาเหตุที่ทำไมพระพุทธเจ้า ท่านถึงได้บอกว่า “เราเป็นผู้ออกจากเรือนแล้ว ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว” นั่นคือตัวแทนของความเด็ดเดี่ยว
ผมถึงบอกว่า ชีวิตที่แท้จริง ไม่ได้มีง่ายๆ
ชีวิตที่แท้จริงไม่ได้อาศัยความดี
แต่อาศัยความเด็ดเดี่ยว
และความเด็ดเดี่ยวนี้ เป็นความเด็ดเดี่ยวที่ไม่เคยหวนคืน มีแต่ไปข้างหน้า ไม่มีม้วนกลับ
ดังเช่น เจ้าชายสิทธัตถะออกจากวังมา ชีวิตท่านเด็ดเดี่ยว มีแต่ไปข้างหน้า ไม่เคยม้วนกลับบ้าน
ชีวิตที่เป็นแบบนั้นได้ ไม่ใช่อาศัยการสอนของผม #แต่อาศัยความใส่ใจต่อชีวิตนี้ด้วยตัวเราเอง จนความเด็ดเดี่ยวนี้มันเกิดขึ้น และมันทำให้คนคนนึง ไม่สามารถจะม้วนกลับไปที่ที่เดิมได้อีกต่อไป
แต่ถ้าชีวิตมันยังไม่เป็นจริง ความเด็ดเดี่ยวก็ไม่มี หัวใจของชีวิตเดิม ที่เคยเป็นทั้งหมด ก็จะมาครอบครองชีวิตนี้ แล้วก็ทำตามความชอบและความเชื่อของตัวเอง ในแบบเดิม ๆ และกลับไปที่เดิมในที่สุด
#Camouflage
17-12-2565

Friday Jun 02, 2023
316.แสงสว่างแรกในชีวิต
Friday Jun 02, 2023
Friday Jun 02, 2023
บรรยายเมื่อ 12-11-2565
เราทุกคนเข้ามาปฏิบัติธรรมด้วยหัวใจอันหนึ่ง ก็คือ เราจะไปสู่อิสรภาพ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราทุกคนน่าจะคิดเหมือนกัน
แต่อิสรภาพนั้น จะต้องเกิดขึ้นตั้งแต่ขณะนี้ ถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ เราไม่สามารถจะปฏิบัติธรรมได้อย่างแท้จริง
อิสรภาพตั้งแต่ขณะนี้ หมายความว่า ชีวิตนี้มีอิสระ ที่จะศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจ โดยไม่มีเงื่อนไข ข้อจำกัด ความคิด ความรู้ สิ่งดี ๆ ทั้งหลาย ที่สั่งสมมา การตัดสินให้คุณค่า ว่าอะไรควรจะเป็นยังไง
#ความไม่หลงเหลือสิ่งที่สั่งสมมาทั้งหมดนี้ จึงจะมีความสามารถที่จะมีอิสรภาพในการรู้ ตั้งแต่ขณะนี้
มีอิสรภาพในการศึกษาสิ่งที่เป็นอยู่อย่างเปิดกว้าง ตั้งแต่ขณะนี้
อิสรภาพไม่ใช่ไปรอเอาข้างหน้า มันต้องมีตั้งแต่เดี๋ยวนี้
...
ศาสนาในความหมายของพวกเรา คือ ดี ไม่ใช่จริง
ศาสนาในความหมายของพวกเรา คือ ความเชื่อ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมจึงเป็นของเสมือนในทุกวันนี้
ผมพูดถึงอิสรภาพตั้งแต่ขณะนี้
อิสรภาพนั้น คือ จะต้องไม่หลงเหลือข้อมูล ความจำทุกอย่าง เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ที่เราเคยเรียนมา เคยฟังมาทั้งหมด เราทำได้ไหม?
เมื่อสมองไม่หลงเหลือสิ่งเหล่านั้น และเราลงลึกกับชีวิตตัวเอง เราจะเห็นว่ามันเหลือแต่ชีวิตล้วน ๆ ชีวิตจริง ๆ ความเป็นไปของมันจริง ๆ กระทบกระเทือนจริง ๆ ปรุงแต่งเละเทะจริง ๆ กุศล อกุศลจริง ๆ กิเลส ความอยาก โทสะ ราคะ ทุกอย่างนี้ จะเกิดขึ้นจริง ๆ
และเมื่อไม่หลงเหลือความรู้ การตัดสิน...นึกออกมั้ยว่าเราตัดสินจากความรู้ จากสิ่งที่สังคมสอนเรา พ่อแม่สอนเรา ครูบาอาจารย์สอนเรา ในเชิงของศีลธรรม ความดี หรือการปฏิบัติที่ถูกต้อง หรือการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ยังไงถึงจะถูก ไม่มีทั้งหมดนี้
แล้วเผชิญกับมันจริง ๆ รู้จักมันจริง ๆ รู้จักหน้าค่าตามันจริง ๆ รู้จักว่ามันมาจากไหนจริง ๆ รู้จักว่ามันเป็นไปยังไงจริง ๆ โดยที่ไม่มีสิ่งเหล่านั้นเข้ามาแทรกแซงขัดขวาง ในการที่จะรู้จักสิ่งเหล่านั้นตามความเป็นจริง
เราฟังผมแล้ว เราต้องลองทำดู ลองมีชีวิตที่อิสรภาพแบบนั้นดู
เราอย่ามัวไปนั่งคิดว่า อ้าว ตายแล้ว ถ้าอย่างนั้น ที่เขาสอนมาทั้งหมด มันก็ไม่ใช่ มันก็ไม่ถูก แล้วมันจะใช่แบบที่อาจารย์พูดหรือ? แล้วที่เขาสอนกันมาแบบนั้น มันแปลว่าอะไร? มีอะไรอีกมากมาย ที่เราจะคิดไปเรื่อย ๆ หยุดคิดแบบนั้นก่อน ลองทำดู มันง่ายกว่า
ถ้ามัวแต่คิด หาถูก หาผิด อยากให้คนอื่น หรือสิ่งที่เราเคยเชื่อไม่ผิดพลาดเลย มันไม่มีวัน จะได้ความจริงอะไรเลย เพราะหัวใจของเรานั้น แค่ต้องการให้ทุกอย่างถูก แค่นั้น
หัวใจที่พยายามจะคิดแต่เรื่องแบบนั้น คือหัวใจที่เลือกข้าง แบ่งข้าง หรือแม้กระทั่งเป็นนางสาวไทย อยากให้ทุกสิ่งดีทั้งหมด ทิ้งหัวใจแบบนั้นไป และใช้หัวใจที่เป็นจริง
#หัวใจที่เป็นจริงนั้น อยู่เหนือถูก เหนือผิด เหนือดี เหนือชั่ว เหนือการตัดสินแบ่งแยก เป็นหัวใจที่กล้าแกร่ง ที่จะเผชิญความจริง อย่างแท้จริง
การมีหัวใจนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ชีวิตที่มีอยู่ในทุกวันนี้ของเรา เป็นจริงขึ้นมาได้
ไม่ใช่ชีวิตที่เป็นโลกเสมือน แล้วก็พยายามปฏิบัติธรรมที่เป็นของเสมือน และสุดท้าย เราก็ไม่พบอะไรที่เป็นความจริงทั้งสิ้น
และเมื่อหัวใจของเรา เริ่มรู้จักชีวิตที่เป็นอิสรภาพตั้งแต่ขณะนี้แบบที่ผมบอก เราจะพบว่า นั่นคือแสงสว่างแรกในชีวิตของเรา
และทันทีที่แสงสว่างแรกในชีวิตของเราได้เกิดขึ้น การเห็นชีวิตนี้ตามความเป็นจริงก็เกิดขึ้นทันที พร้อมกัน
และการเห็นชีวิตตามความเป็นจริงนั้น คือ “อริยสัจ 4”
และนี่คือที่มาของความหมายว่า ทำไม “สัมมาทิฏฐิ” ถึงแปลว่า การรู้อริยสัจ 4
เพราะสัมมาทิฏฐินั้น คือแสงสว่างแรก คืออิสรภาพ
และทันทีที่หัวใจของมนุษย์ทุกคนมีอิสรภาพ การรู้แจ้งในอริยสัจ 4 ก็จะเกิดขึ้น
…
เราฟังเรื่องของการพ้นจากความปรุงแต่ง เราก็ไปเข้าใจว่าคือ การไม่คิด
แต่การพ้นจากความปรุงแต่ง คือหมายความว่า ชีวิตจริง ๆ นี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ตาม จะไม่ถูกความครอบงำของความรู้ทั้งหลายที่เราสั่งสมมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าสิ่งนั้นจะคือความรู้ในเชิงศีลธรรม ถูก ผิด การปฏิบัติธรรม หรืออะไรก็ตามที่สังคมสอนเรามา ไม่มีสิ่งเหล่านั้น ที่จะเข้ามาปรุงแต่งความเป็นจริงในขณะนี้ของชีวิตที่กำลังเกิดขึ้น นี่เรียกว่า #การพ้นจากความปรุงแต่ง
ขันธ์ 5 นี้ มันจะทำอะไรของมันก็ได้ มันกระทบ กระเทือน เป็นแบบไหนก็ได้ แต่ไม่มีความปรุงแต่งมันอีกทีนึง นี่เรียกว่าพ้นจากความปรุงแต่ง
และเมื่อไม่มีไอเดียใด ๆ ต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ การเห็นตามความเป็นจริง หรือการศึกษาสิ่ง ๆ นี้ ซึ่งภาษาพระพุทธเจ้าเรียกว่า “การรู้ทุกข์” มันจึงเกิดขึ้นได้
แต่กระบวนการเรียนการสอนของเราทุกวันนี้ คือ เก็บความรู้ให้เต็ม และคอยเอามาใช้กับชีวิตนี้
มีอกุศลเกิดขึ้น ไม่ควรจะเกิดขึ้น ทำยังไงกับมันดี? เปิดตำรา หาคลิปฟัง ทำสมาธิ ทั้งหมดนี้คือความปรุงแต่ง คือการที่ไม่สามารถเห็นอะไรตามความเป็นจริงได้เลย
แต่เราเชื่อ ทำไมเราเชื่อ?
สิ่งที่ผมถามเหล่านี้ มันควรจะเกิดขึ้นในชีวิตของเราเอง ไม่ใช่รอผมถาม
ถ้าเราเชื่อ เราต้องถามตัวเองว่า เอ๊ะ ทำไมเราเชื่อสิ่งเหล่านี้? เราต้องตอบตัวเองได้ว่า อ๋อ เพราะเราอยากได้ดี เราอยากประสบความสำเร็จ เราอยากพ้นทุกข์ เราอยากนิพพาน เราอยากเป็นพระโสดาบัน เราอยากเป็นพระอรหันต์ เราอยากเป็นเหมือนคนที่เขาพูดแบบนี้ เพราะเราเชื่อว่าเขาเป็นพระอรหันต์
เห็นกระบวนการเหล่านี้ทั้งหมด เห็นกระบวนการคิดของอัตตา ว่ามันคิดอย่างนี้ มันมีวิธีคิดอย่างนี้ มันมีวิธีพูดแบบนี้ มันมีวิธีหลอกตัวเอง ที่ทำให้ตัวเองคล้อยตามกับสิ่งต่าง ๆ แบบนี้ นี่คือการเห็นชีวิตนี้ตามความเป็นจริง นี่เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ ที่ผมให้ตัวอย่างไว้
กระบวนการเห็นชีวิตแบบนี้ ต้องเกิดขึ้นกับเราทั้งวี่ทั้งวัน
แล้วถ้าเรามีกระบวนการที่จะเห็นชีวิตตัวเองแบบนี้อย่างละเอียด อย่างแท้จริง สิ่งที่เราจะค้นพบมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ ชีวิตของเราตั้งแต่อดีตจนมาถึงขณะนี้ ไม่เคยมีเวลาไหนเลยที่เป็นจริง เราแค่อยู่ในไอเดีย ๆ หนึ่ง ที่คอยควบคุมชีวิตนี้อยู่ตลอดเวลา
เราอาจจะค้นพบว่า อุ๊ย เราอยู่ภายใต้ไอเดียนี้ เราจะค้นพบไปเรื่อยๆ ค้นพบไปเรื่อยๆ เราจะพบว่า เรานี่มันบ้าจริง ๆ เราอยู่ภายใต้ทุกไอเดียอย่างเหลือเชื่อ และเราก็คิดว่าชีวิตของเรานี้เป็นจริง และเราก็กำลังปฏิบัติธรรมอยู่ เราจะค้นพบว่า ไม่น่าเชื่อว่าเราจะเป็นคนแบบนี้ได้
#Camouflage
12-11-2565

Thursday May 25, 2023
315.ชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4...แค่นั้น
Thursday May 25, 2023
Thursday May 25, 2023
บรรยายเมื่อ 29-10-2565
ในชีวิตการปฏิบัติธรรมของเรานั้น ความเห็นผิดเกี่ยวกับว่า “จะทำยังไงดี?…เราถึงจะพ้นทุกข์” จะคอยแทรกเข้ามาในชีวิตเราในแต่ละวันเสมอ ๆ และเมื่อมันเกิดขึ้น เราจะหาทาง เราจะประเมิน เราจะตัดสิน เราจะให้คุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น และดิ้นรน
และทั้งหมดนั้นคือ เรากำลังออกนอกเส้นทางของความจริง
เพราะเมื่อสมมติฐานหรือภาพของตัวเราเกิดขึ้น แล้วเรารู้ไม่ทัน มันจะพาเราหลงทางทันที…ไปอีกนาน
แต่ภาพของเราคนนึงกำลังหาทางที่จะพ้นทุกข์ เป็นภาพที่ได้รับการชื่นชมและยกย่องในหมู่นักปฏิบัติธรรม
เราถูกสอนแต่ในเรื่องให้เราพ้นทุกข์ ทำยังไงเราถึงจะพ้นทุกข์?
เราต้องมีสติ เราต้องมีสมาธิ เราจะได้ไม่เข้าไปเป็นกับการกระทบต่าง ๆ นั้น เราจะได้ไม่ปรุงแต่ง ถ้าเราไม่ปรุงแต่ง เราก็ไม่ทุกข์
ถ้าเรามีสมาธิ เราก็เห็นเฉย ๆ ได้ ถ้าเราเห็นเฉย ๆ ได้ เห็น สักแต่ว่าเห็นได้ เราก็ไม่ทุกข์
ทุกอย่างดูดีหมด แต่ทุกอย่างพุ่งเข้าไปที่ Center สำคัญ คือ Self ของตัวเอง คือ “กู”
เราทำทุกอย่างเพื่อตัวกู และทุกอย่างที่เราทำนั้นมันเป็นหลักธรรม ไม่มีอะไรปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นได้เลย ว่าเราทำอะไรผิด
สิ่งที่เราทำ ไม่ได้ผิด
สิ่งที่ผิด คือ “เรา”
สิ่งที่ผิดคือ เราไม่เห็นภาพของอัตตาที่ถูกสร้างขึ้นมา และภาพของอัตตานั้นได้สร้างเรื่องราวว่า “เราคนนึงทุกข์ และเราคนนี้กำลังอยู่ในเส้นทางนี้ เพื่อจะพ้นทุกข์” เราอยู่ในภาพนั้น
เราอยู่ในภาพนั้น ตั้งแต่เราก้าวเข้ามาในการปฏิบัติธรรม และไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปี เราก็ยังอยู่ในภาพนั้น นี่คือ “ความหลง” เรายังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย
แล้วการปฏิบัติธรรมคืออะไร?
มันไม่ใช่เรื่องไอเดียของเราคนนึงจะพ้นทุกข์ มันไม่ใช่ไอเดียของคนคนนึงที่จะได้รับความสุข และไม่ใช่ไอเดียของคนคนนึงที่จะได้รับบรมสุข
ไม่ใช่ไอเดียที่เกิดขึ้นจาก Center คือ Self นี้ คือ “กู” นี้
ไอเดียที่เป็นความเห็นผิดทั้งหมดที่ผมบอก มันขยายออกไปจาก “กู” ไม่ว่ามันจะดูดีแค่ไหนก็ตาม มันก็คือ “ความหลง”
ไม่ว่าการมีสติ สมาธิ หรืออะไร ๆ ก็ตามที่เราทำกัน มันอยู่ภายใต้ความครอบงำของ Center อันใหญ่ คือ “กู”
เพราะฉะนั้น เหล่านั้นจะเรียกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิไม่ได้ มันเป็นแค่ความหลงของคนคนหนึ่งเฉยๆ
เราต้องเข้าใจทั้งหมดที่ผมพูดถึงอันนี้ให้ได้
การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงนั้น คือ “การมีชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4” แล้วผมจบแค่นั้น คือการที่คน ๆ นึงมีความสามารถที่จะมีชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4 ได้ ไม่มีว่า “แล้วเราจะได้อะไร?” ไม่มี
...
ถามตัวเองว่า จริง ๆ เราสนใจ “อริยสัจ 4” มั้ย ซึ่งเป็นข้อแรกของอริยมรรคมีองค์ 8 ? เราไม่เคยสนใจเลย เราทำตั้งแต่ข้อ 2 ยันข้อ 8 อย่างดี โดยที่เราไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่า ข้อ 2 ถึงข้อ 8 นั้นเกิดจากข้อ 1 ไม่ใช่เราเข้าไปทำมัน
แต่เราเลือกจะทำข้อ 2 ถึงข้อ 8 อย่างหลับหูหลับตา ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่เราทำแบบนั้น แต่เราทำแบบนั้น
และยอดฮิตที่สุด ก็คือ “สติและสมาธิ” เราพยายามเจริญสติ ตัวเนื้อหาของการเจริญสติปัฏฐาน 4 นั้นไม่ได้ผิดพลาดอะไร แต่ความผิดพลาดนั้นคือ
#มันไม่ได้เกิดจากสัมมาทิฏฐิ
#มันไม่ได้เกิดจากอริยสัจ 4
#มันเกิดจากอัตตาที่เชื่อว่าสิ่งนี้ดี_แล้วกูจะทำ
สมาธิก็เหมือนกัน เราไปทำฌาน เราพยายามเข้าฌานให้ได้ เราอยากได้เอกัคคตาจิต เราจะได้จิตที่เป็นหนึ่ง เพื่อจะเห็นสรรพสิ่งในโลกนี้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับ เกิดขึ้นแล้วก็ดับ เกิดขึ้นแล้วก็ดับ เห็นมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ทำไม? เพราะเราฟังมาว่า พระโสดาบันคือผู้ที่เห็นความเกิดดับเป็นธรรมดา เห็นสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา เราอยากเป็นพระโสดาบัน
แล้วเมื่อไหร่ก็ตาม ที่มีคนขายสิ่งเหล่านี้ให้กับเรา ขายสติ ขายสมาธิ เราเอา เราทุ่มสุดตัวสุดหัวใจ หรือขายความลำบาก ขายการทรมานตัวเอง ไม่ว่าจะทรมานเยอะ ทรมานน้อย เราเอาหมด เพราะมันจะนำอัตตานี้ คือ “กู” ไปสู่ความพ้นทุกข์ และอย่างน้อยก็ไปสู่ความเป็นพระโสดาบัน กูจะได้ไม่ตกอบาย
และเราอยู่อย่างนั้น เราอยู่อย่างนั้นได้เพราะที่ผมบอกตั้งแต่เริ่มต้นว่า เพราะเรามีสมมติฐานว่า เรามาปฏิบัติธรรม เพื่อเราจะพ้นทุกข์ เราจึงซื้อทุกอย่างที่มีคนบอกเรา ที่มันจะสนองเป้าหมายสำคัญที่สุดในชีวิตของเราในขณะนี้ คือ #เราจะพ้นทุกข์
แล้ว “อริยสัจ 4” ธรรมะสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าประกาศในวันแรกอยู่ที่ไหนในหัวใจของเรา?
สำหรับพวกเราทุกคนคือ มันอยู่นู่น เป็นเรื่องของตอนที่จะเป็นพระอรหันต์ เราถึงจะแจ่มแจ้งในอริยสัจ 4
เราเอามันไปไว้ท้ายสุด รอก่อน ขอทำอย่างอื่นก่อน
ท่านอุตส่าห์เอาไว้ข้อแรกในอริยมรรคมีองค์ 8 แต่เราละเลย ไม่สนใจมันด้วยซ้ำ เอาไปไว้ท้ายสุด ตอนบรรลุพระอรหันต์
ผมเคยบอกพวกเราทุกคนว่า ชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4 นั้นแปลง่าย ๆ คือ การที่เรามีความใส่ใจต่อความทุกข์ แม้ว่าความทุกข์นั้นจะเล็กน้อยก็ตามที พวกเราไม่เป็นอย่างนั้น นักปฏิบัติธรรมเราไม่เป็นแบบนั้น
เราสนใจอะไร? เราสนใจว่า ถ้ามีทุกข์เกิดขึ้น แล้วปล่อยวางได้เร็ว นี่คือ กูเจ๋ง กูไม่ทุกข์แล้ว กูเป็นคนปล่อยวางง่าย กูเป็นคนไม่ยึดติด ถ้าอย่างนั้น เป็นอัลไซเมอร์ก็ได้ ถ้าเป้าหมายของเราอยู่แค่เรื่องของการที่เราไม่ทุกข์ ก็โอเคแล้ว
แต่เราอยู่ที่นั่นกัน เราอยู่ที่ว่า ถ้ามีการกระทบ มีการกระเทือน มีความรู้สึก มีความทุกข์เกิดขึ้น ใครปล่อยวางได้เร็ว ชนะ ใครปล่อยวางได้เร็ว เก่ง
เห็นมั้ยว่าทุกอย่างที่เราทำนั้น ก็คือพุ่งมาที่ Center ก็คือ “กู” ไม่ว่าผลลัพธ์มันจะดีแค่ไหนก็ตาม มันก็คือ “กู”
แล้วถ้าเราถามตัวเอง ในการปฏิบัติธรรมที่เรามีกระบวนการคิดแบบนี้ ด้วยภายใต้ไอเดียแบบนี้ ตรงไหนของชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4? ถามตัวเองจริง ๆ เราเคยมีชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4 มั้ย? แทบจะไม่เคยเลย
เรารู้ว่านี่คือความทุกข์ เรารู้ไหมว่าเหตุแห่งทุกข์คืออะไร? เราไม่รู้
เหมือนที่ผมบอกว่า เราพยายามมีสติ มีสมาธิ เห็นสภาวธรรมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เห็นความเกิดดับของมัน และผมเชื่อว่าเราทุกคนอยากเห็นแบบนั้นให้ได้
เราอยากมีจิตที่เห็นสภาวธรรมเกิดดับได้ เพราะเราได้ยินมาว่า แบบนี้เรียกว่า “วิปัสสนา” เราอยากยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา ทั้งหมดคือ Center คือ “กู” อีกแล้วใช่มั้ย?
“กู” ตัดสินใจแล้วว่า “สิ่งนี้คือดี”
และกูอยากจะได้
แม้ว่าเราจะทำได้ก็ตาม การเห็นสภาวะเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ผมถามว่าอริยสัจ 4 อยู่ตรงไหน? เราไม่สนใจกันใช่มั้ย? เพราะว่า...ไม่รู้อ่ะ กูจะเป็นพระโสดาบันก่อน เขาบอกว่าถ้าเห็นเกิด แล้วก็ดับ จะเป็นพระโสดาบันได้ กูเอาแค่นี้ก่อน เห็นไหม...มันหนีไม่พ้น Center คือ “กู” ใช่มั้ย?
ทุกการกระทำ ทุกความคิด ทุกไอเดียของเรา #เป็นแค่เกมของอัตตาเฉย ๆ เราอยู่ภายใต้มัน
ผมบอกว่า ชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรม คือการค้นพบว่า “ชีวิตนี้เป็นแค่อริยสัจ 4” เป็นการดำเนินชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4 แค่นั้น
เลิกไอเดียเกี่ยวกับว่า อ๋อ ถ้าวันนึง เรามีชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4 แล้ว วันนึงเราแจ่มแจ้ง แล้วเราจะพ้นทุกข์ใช่มั้ยอาจารย์? ไม่มีไอเดียเหล่านั้น นั่นไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง
แก่นของชีวิต มีแค่ความเป็นอริยสัจ 4 แค่นั้น
ไม่มีใครสักคนนึงได้อะไรจากมัน
และเมื่อมีชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4 จะเป็นชีวิตที่เป็น “วิชชา”
วิชชาคืออะไร? คือแจ่มแจ้ง
ชีวิตที่แจ่มแจ้งคืออะไร? คือชีวิตที่ไม่หลง ไม่เห็นผิด ไม่หลงผิด ไม่เข้าใจอะไรผิด ๆ ไม่ถูกมายาของกู หลอกให้ใช้ชีวิตไปในแบบของมัน
เพราะฉะนั้น ชีวิตที่แท้จริง คือ คนคนนึง มีความสามารถที่จะมีชีวิตที่เป็นจริงได้
#Camouflage
29-10-2565

Friday May 19, 2023
314.อะไรคือความไม่ตื่น
Friday May 19, 2023
Friday May 19, 2023
บรรยายเมื่อ 15-10-2565
314.อะไรคือความไม่ตื่น
ความตื่น คือ การมีชีวิตที่เป็นปัจจุบัน และชีวิตที่เป็นปัจจุบันนั้น เป็นชีวิตที่ไร้เรื่องราว เป็นชีวิตที่มีแค่อาการปรากฏ
ความตื่น คือ การรับรู้อาการในขณะนี้ รับรู้ล้วน ๆ เพียว ๆ แล้วสามารถรู้เหตุของมันได้ว่า อาการที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมดในขณะนี้เกิดจากเหตุอะไร
เช่น เพราะความหมายของคำพูดที่กระทบเข้ามาในหูของเรา ทันทีที่มีการรู้ทั้งหมดของขณะนี้ ว่ามันมีที่มาที่ไปเกิดจากอะไร กระบวนการที่เราเรียกว่าความทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้น จะจบสิ้นไปอย่างไม่มีร่องรอยอะไรเหลืออยู่อีกเลย
และที่สำคัญคือ ไม่มีความรู้สึกเลยว่า นี่เราปฏิบัติถูกแล้ว เราดีแล้ว เราเข้าใจแล้วว่าจะต้องเห็นอย่างนี้ แล้วเก็บบทสรุปของประสบการณ์ในครั้งนี้ เตรียมไปใช้กับครั้งหน้า
ความรู้สึกเดียวที่หลงเหลืออยู่คือ ความตื่น ความรู้สึกถึงชีวิตที่ตื่น
การฟังทั้งหมดที่ผมพูด ไม่สามารถจะทำให้ชีวิตของเราตื่นได้ ชีวิตที่เป็นความตื่นนั้นจะต้องเป็นการค้นพบชีวิตนั้นด้วยตัวเราเอง
และการที่ชีวิตจะตื่นขึ้นมาได้อย่างแท้จริงนั้น เราจะต้องทิ้งทั้งหมดที่เป็นทิศทางเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม เพราะทิศทางนั่นเอง คือตัวปิดบังความตื่นของมนุษย์คนหนึ่ง
...
ทุกวันที่เราอยู่ภายใต้ชีวิตที่ไม่จริง เรามีภาพของชีวิต เราวางแผนทั้งหมดเอาไว้แล้ว แผนทั้งหมดนั้นมีเป้าหมายเดียวในชีวิตคือ “ให้เราปลอดภัย”
แต่เราไม่ใช้คำนั้น เรานักปฏิบัติธรรมเราแยบยลกว่านั้น เราใช้คำว่า “เรากำลังอยู่ในทาง เรากำลังไปสู่ความหลุดพ้น”
เราใช้คำที่เหนือกว่าคำว่า “จริง ๆ ที่เราทำอย่างนี้ เพราะเรารักตัวเอง เราเห็นแก่ตัว เราแค่ต้องการความปลอดภัยของชีวิตและจิตวิญญาณ แค่นั้น”
และทั้งหมดนั้นคือ #ของเรา
แล้วชีวิตจริง ๆ เป็นอย่างไร?
ชีวิตที่แท้จริง คือ ชีวิตที่ไม่ใช่ทั้งหมดที่ผมพูดถึงเมื่อกี้นี้ เป็นชีวิตที่พ้นจากทุกทิศทางที่เราเคยมีต่อชีวิตนี้ และตื่นมาอย่างสดใหม่
เผชิญกับทุกความทุกข์และความสุขที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การกระทบทางความคิด ความปรุงแต่งของเราเอง
เผชิญชีวิตแต่ละขณะอย่างนั้น #อย่างไรทิศทาง
ถ้าเราเคยเผชิญกับชีวิตจริง ๆ อย่างที่ผมบอกนี้ เราจะเห็นอย่างชัดเจนว่า ทิศทางทั้งหมดที่เราเคยใช้ต่อชีวิตนี้ ที่เราเรียกว่า “การปฏิบัติธรรม” นั้น ปิดบังความจริงทั้งหมดเอาไว้อย่างแนบเนียน
อย่างน้อยเราจะเห็นความต่างระหว่างชีวิตที่มีทิศทาง กับชีวิตที่กำลังเผชิญความจริงอย่างไม่มีทิศทาง
#แล้วความตื่นเกิดขึ้นจากการเผชิญความจริงของชีวิตในแต่ละขณะอย่างไร้ทิศทาง
คำว่า “ไร้ทิศทาง” ที่ผมพูดถึง นั่นคือ “ทิศทางที่แท้จริง”
ไม่ใช่ทิศทางที่มีไอเดียสักอย่างหนึ่ง ที่เรารับมาจากใครก็ตาม บอกเราเอาไว้ เพราะความคับแคบของทิศทางที่เป็นไอเดียนั้น มันทำให้ชีวิตนี้ ตื่นขึ้นมาไม่ได้
นี่คือสาเหตุที่ว่า ทำไมจึงมีครูบาอาจารย์ เช่น ท่านเว่ยหล่างจึงต้องเอามาบอกชาวโลกว่า “ต้องฉีกตำราทิ้ง”
ถ้าไม่มีคนที่เห็นอย่างนี้ ก็ไม่มีใครพูดแบบนี้หรอก และถ้าเขาพูด แล้วไม่มีคนเห็นตามด้วยได้ คำสอนนี้มันคงมาไม่ถึงวันนี้ ใครจะเชื่อเรื่องไม่มีเหตุผลแบบนั้น
เหตุผล คือตำรา คือทฤษฎีที่ดี
ทุกอย่างที่ดี คือเหตุผล
และมนุษย์เราไม่อยากรู้สึกเป็นคนโง่ เราต้องใช้อะไร? ใช้เหตุผล
เพราะฉะนั้น เราต้องเห็นโครงสร้างของความเชื่อมโยงของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ว่ามันครอบงำชีวิตมนุษย์คนนึงได้อย่างไร
...
ชีวิตที่เป็นจริงจะเกิดขึ้นได้ เหมือนที่หนูน้อยได้บอกไว้วันก่อนว่า “ไม่ว่าหนูจะบอกอะไรอาจารย์ อาจารย์ก็บอกว่าไม่ใช่ทั้งนั้น”
แล้วเมื่อเราพบว่า ทั้งหมดที่เรายึดถือ หรือเราเชื่อ ว่าอะไรควรจะเป็นยังไง #มันไม่มีอะไรใช่เลย เราจึงจะค้นพบชีวิตที่แท้จริง
#Camouflage
15-10-2565

Friday May 12, 2023
313.เรายังไม่รู้จัก...ความตื่น
Friday May 12, 2023
Friday May 12, 2023
บรรยายเมื่อ 01-10-2565
ถ้าผมยกตัวอย่างให้เราพิจารณาว่า เมื่อกิเลสเกิดขึ้น ความอยากเกิดขึ้น ความโกรธเกิดขึ้น เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราบ้าง? ให้พวกเราลองคิดดูตอนนี้
ทันที เราอาจจะมีไอเดียบางอย่างต่อกิเลสนั้น ต่อความอยากนั้น เช่น เรามีความเป็นนักปฏิบัติธรรมอยู่ เรารู้สึกแย่กับกิเลสที่เกิดขึ้น แล้วเราพยายามจะทำอะไรบางอย่าง
เรามีไอเดียว่า เราจะไม่ทำตามกิเลสนั้น แต่การไม่ทำตามกิเลสนั้น มาจากไอเดียไหนอีกทีนึง?
มันมีอีกความคิดหนึ่งกำลังบอกเราว่า การตามกิเลสนั้น มันไม่ใช่ทาง การตามกิเลสนั้น มันไม่ดี
มันมีไอเดียบางอย่างกำลังบอกเรา กำลังสอนเรา กำลังแนะนำเรา
และหลังจากนั้น เราพยายามทำตามนั้น ทำตามคำแนะนำของอีกความคิดหนึ่ง
และสุดท้ายกิเลสก็ดับไป เพราะมันไม่เที่ยง แล้วเราก็พบว่า นี่คือ “ทาง”
เพราะฉะนั้น ทางทั้งหมดที่เรา “เชื่อว่าคือทาง” เกิดขึ้นจากความคิดเท่านั้น เกิดขึ้นจากความเชื่อ ข้อมูล และมันให้ผลได้จริง
แต่ที่ผมพยายามจะบอกก็คือ #เราเห็นชีวิตนั้นอยู่ภายใต้ความครอบงำของความคิด ซ้อนความคิด ซ้อนความคิด ตลอดเวลาไหม? แม้ว่ามันจะดีก็ตาม
การปฏิบัติธรรมอยู่ที่ไหนกันแน่?
…อยู่ที่ความสามารถที่คนคนนึงจะไม่ทำตามกิเลส
…หรือว่าเห็นกิเลสมันดับไป
…หรือว่าคนคนนึงสามารถที่จะเห็นระบบของความคิดทั้งหมดแต่ละอัน ที่คอยควบคุมชีวิตนี้อยู่
และการปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่ #อยู่ที่การตื่นขึ้นมาเห็นระบบของความคิดทั้งหมดที่ควบคุมชีวิตนี้อยู่ แม้ว่าระบบความคิดนั้น คือระบบความคิดของการปฏิบัติธรรมก็ตาม
ถ้าเราไม่มีความสามารถที่จะเห็นความซับซ้อนของชีวิต โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความคิด เราจะไม่มีวันที่จะตื่นขึ้นมาเลย เราจะเป็นได้แค่คนดีเฉยๆ
และที่เรารู้กันเสมอว่า คนดีก็คือ คนที่หลอกง่ายที่สุด ไม่ต้องผมบอก ประวัติศาสตร์มนุษยชาติก็บอกอยู่แล้ว
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ชาวพุทธเราถูกหลอกง่าย เพราะนิยามของชาวพุทธเรา คือ “คนดี” “ไม่ใช่คนที่ตื่นขึ้นมา” แบบที่พระพุทธเจ้าสอน
เพราะฉะนั้น ไม่มีใครบิดเบือนสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ได้มากเท่าชาวพุทธกันเอง
เราไม่สร้างบรรยากาศของการ #ตื่นรู้
เราลุ่มหลงอยู่ในบรรยากาศของ #ดี
#Camouflage
01-10-2565