Episodes

Friday Jan 20, 2023
301.ชีวิตเป็นแค่ความหมายของภาษา
Friday Jan 20, 2023
Friday Jan 20, 2023
บรรยายเมื่อ 19-06-2565
การมีชีวิตจริงๆ นั้น ไม่มีที่พึ่ง ไม่ได้ให้ความปลอดภัย
การมีชีวิตจริงๆนั้น เปรียบเสมือนสัตว์ป่าที่อยู่ในป่าในเขา
...มันไม่รู้อะไรล่วงหน้า มันไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับมัน ชีวิตของมันไม่ซ้ำซาก
...เป็นชีวิตที่แค่เผชิญกับขณะนี้ โดยไม่มีทิศทางอะไรต่อมันเลย ไม่มีความหมายของความรู้ คำสอน ทฤษฎีต่างๆ เข้ามาชี้นำทิศทางของชีวิต ต่อสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้
ยกตัวอย่าง เรานักปฏิบัติธรรม เราฟังว่าอะไรเกิดขึ้น ต้องรู้
พอเราเชื่อในความหมายนั้นเข้าไปเต็มหัวใจ เราไม่ยอม...ถ้ามันไม่รู้
#ความหมายของคำสอนนั้นกำกับทิศทางของชีวิตทันที
นักปฏิบัติธรรมเราผู้เคร่งครัด เพ่งเพียรจะรีบสวนกลับขึ้นมาว่า “อ้าว...แล้วถ้าหลงไป จะทำยังไง? ไม่แย่หรือ?”
ผมถามกลับว่า ใช่ไหมเราถูกสอนมา แล้วเรากลัวล่วงหน้า ว่าถ้าหลงไป มันจะแย่
นั่นคือ “ความคิด” ที่กำกับทิศทางของชีวิตจากความหมายของคำสอนเหล่านั้น อีกครั้งหนึ่ง
ถ้าเราไปเชิญหน้ากับสิ่งที่เราบอกว่า “ถ้าไม่รู้ล่ะ มันจะเป็นยังไง” เราจะได้รู้จักความไม่รู้ล่ะ ว่ามันเป็นยังไงจริงๆ
นี่ตัวอย่างง่ายๆ ที่ชีวิตเราไม่จริง...ไม่จริงมานานแล้ว แต่เราเข้าใจว่า เราปฏิบัติธรรมอยู่ เราเพียรอยู่
ความหมายในคำสอน ในหนังสือ ในตำรา และในความเป็นศาสนา มักจะให้ไอเดียกับเราว่า “เราควรจะเป็นยังไง”
เราทุกคนจะต้องไปพิจารณาตรงนี้ให้มันชัดเจนแจ่มแจ้ง
เราทุกคนให้ความสำคัญว่าชีวิตนั้นควรจะเป็นยังไง ในการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน...ควรจะเป็นยังไง ควรจะเห็นยังไง ควรจะมีอะไร ควรจะไม่มีอะไร
ทั้งหมดคือการให้ความสำคัญกับอนาคต
แต่ขณะที่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ #ขณะนี้
สิ่งที่เป็นอยู่จริงในขณะนี้เท่านั้นที่เป็นจริง และเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่แสดงความจริงได้
และการแสดงความจริงของมันนั้น อยู่นอกเหนือความหมายของคำว่า “มันถูก หรือผิด” มันไม่สามารถจะมีความหมายนั้นได้เลย
มันมีหน้าที่เพียงแค่แสดงความมีอยู่ของมัน ความเป็นอยู่ของมัน และเราแค่รับรู้ความจริงของมัน
แล้วไม่ว่าเราจะรับรู้ความจริงของมันได้แค่ไหน ก็คือแค่นั้น นั่นคือความจริงเหมือนกัน
#Camouflage
19-06-2565

Friday Jan 13, 2023
300.อะไรคือการรู้ทุกข์
Friday Jan 13, 2023
Friday Jan 13, 2023
บรรยายเมื่อ 11-06-2565
300.อะไรคือการรู้ทุกข์
เวลาเราพูดคำว่าปฏิบัติธรรม เราคิดถึงอะไรกันบ้าง?
ต้องรู้สึกตัว ต้องมีสติ ต้องมีสมาธิ ต้องมีความสามารถพิเศษบางอย่างในการเห็นสภาวธรรม ต้องไม่หลง สติต้องเร็ว สมาธิต้องแน่น ศีลต้องดี และอื่นๆอีกมากมาย ที่เราแต่ละคนอ่านอะไรมา ฟังอะไรมา แล้วเราก็เอาเข้ามา เพื่อจะมีหรือจะเป็นแบบนั้นให้ได้
เหล่านี้คือสิ่งที่เราทุกคนมีอยู่และเป็นอยู่ เมื่อเราคิดถึงคำว่าปฏิบัติธรรม
แล้วเราก็สามารถที่จะท่องจำ พูดได้ปร๋อเหมือนนกขุนทองว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่อง “อริยสัจ 4” “รู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้จักทางสู่ความพ้นทุกข์”
ท่องได้อย่างเดียว แต่ไม่เข้าใจ
พอท่องอย่างเดียวแต่ไม่เข้าใจ คำว่าปฏิบัติธรรม มันก็เลยกลายเป็นสิ่งทั้งหมดแบบที่ผมบอกในตอนต้นเมื่อกี้นี้
ถ้าเราเข้าใจคำว่า “รู้ทุกข์” ของพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนว่าคืออะไร เราจะเข้าใจว่า หน้าที่ของเราคืออะไรกันแน่
อะไรที่เรียกว่า ทุกข์?
ถ้าเรานิยามสิ่งที่เรียกว่า ทุกข์ คือสิ่งที่เกิด แล้วก็ดับ คือสิ่งที่ไม่เที่ยง ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ ควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นไปตามเหตุและปัจจัย
อะไรคือทุกข์บ้าง?
ใช่แค่ความรู้สึกทุกข์ไหม ใช่แค่ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจไหม
ความสุขเกิดแล้วดับไหม สติเกิดแล้วดับไหม สมาธิเกิดแล้วดับไหม ปัญญาเกิดแล้วดับไหม
ท่านบอกว่าให้ “รู้ทุกข์”
ไม่ได้บอกให้ “มีทุกข์”
เข้าใจที่ผมพูดไหม?
คำถามของผมคือ เราทำอะไรกันอยู่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เราพยายามมีทุกข์...เหลือเชื่อนะ เราพยายามมีสิ่งที่มันเป็นตัวทุกข์
เราฟังแล้วคงจะงงว่า แล้วเราจะปฏิบัติธรรมกันยังไง
เราต้องวางของเก่าทั้งหมดที่เราเคยรู้มาทิ้งลงไปก่อน ลืมทั้งหมดที่เคยรู้มา แล้วลองเริ่มที่นี่ เริ่มที่อริยสัจ 4 นี้
ท่านบอกให้รู้ทุกข์ นั่นหมายความว่า #รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตนี้
ไม่ว่ามันจะคือความทุกข์ ไม่ว่ามันคือความสุข ไม่ว่ามันจะเป็นความรู้สึกตัว ไม่ว่ามันจะเป็นความปกติ ไม่ว่ามันจะเป็นความรู้เนื้อรู้ตัวที่เป็นสมาธิ หรือไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าปัญญาที่เกิดขึ้นในจิตใจ และอื่นๆอีกมากมายที่ไม่มีบัญญัติ แค่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ไหม
...
ทุกวันนี้เราไม่ได้รู้ทุกข์ นักปฏิบัติธรรมเรา พอฟุ้งซ่าน เรารีบไปนั่งสมาธิ เรากลัวความฟุ้งซ่านมาก
เราเห็นหัวใจเราไหม ว่าแท้จริงเราไม่เคยรู้ทุกข์เลย
เรามีหัวใจที่ปนเปื้อนไปด้วยไอเดียต่างๆที่เราได้รับมา เกี่ยวกับว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ว่ามันคืออะไร มันต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ต้องมีอย่างนี้ ต้องมีอย่างนั้น ต้องไม่มีอย่างนั้น ต้องไม่มีอย่างนี้ เต็มหัวสมองเราไปหมด
แล้วสิ่งเหล่านั้นนั่นแหละ ที่ทำให้เราหลุดออกจากการรู้ทุกข์ หลุดออกจากข้อแรกของอริยสัจ 4
แต่เราบอกว่า ที่เรากำลังทำอยู่เนี่ยก็เพื่อวันนึงจะแจ่มแจ้งอริยสัจ 4 มันเป็นไปได้ยังไง เรายังไม่ได้ทำเลย
มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเราเดินถนนคนละเส้น เราไปไหนก็ไม่รู้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่มาเส้นอริยสัจ 4
เส้นที่เราไป ถ้าผมพอจะรู้ ก็คือเส้นของสังสารวัฏ ไม่ว่ามันจะดูดีแค่ไหนก็ตาม มันก็คือสังสารวัฏ
เพราะมันมีเราคนนึงกำลังจะทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะได้อะไรบางอย่างตลอดเวลา
กระทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะหนีอะไรบางอย่างตลอดเวลา
กระทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะแก้ปัญหาอะไรบางอย่างตลอดเวลา
เราไม่เคยแค่รู้ทุกข์
เราไม่เคยเข้าใจโครงสร้างทั้งหมดของชีวิตนี้ ว่ามันคืออะไร แค่นั้น เราไม่เคยทำเรื่องแบบนั้น
พิจารณาให้ดี ถ้าเราเข้าใจคำว่ารู้ทุกข์ของพระพุทธเจ้าอย่างแจ่มแจ้ง ว่ามันคืออะไร
ชีวิตอันแสนพะลุงพะลังของเรา เกี่ยวกับเมื่อเราคิดถึงว่าเราจะปฏิบัติธรรมนั้น มันจะหล่นหายลงไปอย่างมากมายมหาศาลเลย
การรู้จักตัวเอง การรู้ทุกข์ เป็นหน้าที่ของเราเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
และเมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ เราจะไม่มีวันถูกหลอกอีกต่อไป เราจะไม่ถูกพระหรอก เราจะไม่ถูกอาจารย์หลอก เราจะไม่ถูกคนที่เราเชื่อถือหลอก เราไม่ถูกความงมงายหลอกหลอนเรา เราจะไม่ถูกความกลัวหลอกหลอนเรา
มนุษย์เราตกอยู่ภายใต้สิ่งเหล่านี้มานานแสนนานแล้ว
และถ้าเรายังไม่เข้าใจที่ผมพูดถึงเกี่ยวกับการรู้ทุกข์ในอริยสัจ 4 เราจะถูกหลอกต่อไปเรื่อยๆ
แค่รอว่าวันไหนที่ความถูกหลอกนั้นจะเปิดเผยออกมา
#Camouflage

Thursday Jan 05, 2023
299.สงครามระหว่างขณะนี้ กับสิ่งที่ควรจะเป็น
Thursday Jan 05, 2023
Thursday Jan 05, 2023
บรรยายเมื่อ 04-06-2565
ผมอยากให้พวกเราเข้าใจว่า พวกเราเหล่านักปฏิบัติธรรมนั้น เป็นผู้ที่ก่อสงครามภายในใจ ระหว่างสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ กับสิ่งที่ควรจะเป็นอยู่ตลอดเวลา
นี่คือต้นเหตุของความทุกข์ นี่คือต้นเหตุของความสับสน นี่คือต้นเหตุของการแสวงหา นี่คือต้นเหตุของความพยายามบางอย่าง
นึกออกไหมว่า สิ่งที่ควรจะเป็น หรือสิ่งที่เราอยากจะไปถึง ที่เราคิดเอา หรือที่เราเชื่อจากครูบาอาจารย์บอก จากตำราบอก เรามีความคิดของตัวเราเองกับความเชื่อต่างๆว่า #สิ่งที่ควรจะเป็นนั้นสำคัญกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
เราคิดว่าสิ่งที่ควรจะเป็นนั้น เป็นสิ่งที่ดีกว่า เจ๋งกว่า จริงกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
เราคิดว่าสิ่งที่ควรจะเป็น ที่เราจะไปถึงนั้นมีคุณค่ากว่าความโกรธในขณะนี้ นี่คือสงครามในใจที่เราก่อขึ้นเอง นี่คือหัวใจของเรา
สิ่งที่เป็นจริงอยู่ในขณะนี้ เราอยากจะพ้นไปจากมันให้เร็วที่สุด เพื่อจะไปเอาสิ่งที่เรารู้สึกว่ามีคุณค่ามากกว่า ในอนาคตข้างหน้านั้น
อย่าลืมที่ผมบอกว่า ผมให้ทิ้งทุกความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม แล้วเผชิญกับชีวิตจริงๆ ในขณะนี้ของตัวเอง ผมไม่ได้พูดถึงคำว่ารู้ด้วย ผมไม่ได้พูดถึงสติ ผมไม่ได้พูดถึงอะไรทั้งนั้น ลืมเรื่องเหล่านั้นไปก่อน
ลืมเรื่องเหล่านั้น #แล้วรู้จักตัวเอง
เมื่อเรารู้จักตัวเอง เราจะรู้ว่าทำไมเราถึงใช้ชีวิตในโลกผิด ทำไมเราถึงมีความทุกข์ ทำไมเราถึงใช้ชีวิตในการปฏิบัติธรรมก็ผิดอีก
ถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง เราทำอะไรก็ผิดทั้งนั้นแหละ
...
เรามีหน้าที่แค่เผชิญกับชีวิตนี้จริงๆ สิ่งที่เป็นจริงในขณะนี้ สำคัญกว่าสิ่งที่เราคิดว่าควรจะเป็นในอนาคต เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นมายา เป็นภาพฝันของเรา เป็นสิ่งที่เราตัดสินว่ามันดีกว่าขณะนี้
สิ่งที่ผมบอกคือ ผมแค่ต้องการให้เราแต่ละคน #ได้รู้จักการมีชีวิตจริงๆ แค่นั้น ผมไม่ได้บอกว่ามันถูกหรือผิด เราแค่ต้องเป็นคนจริงเท่านั้น
ถ้าเรายังพ้นจากความถูกความผิดไม่ได้ ชีวิตเรามันจริงไม่ได้ซักทีนึง
เห็นมั้ยว่า จริง...จริงๆ...มันจริง แต่จริงลวงๆ อ่ะ มันมีสารพิษเจือปน
ทุกวันนี้ สังคมนักปฏิบัติธรรมเราไปไกล ในทางไกลจากความจริง ไปหาเรื่องถูก หาเรื่องผิด ไปหาเรื่องว่าควรจะเป็นยังไง เราพลัดหลงจากความจริงไปมาก
#จริงของเรานั้นกลายเป็นคำว่าถูก
สิ่งที่เป็นจริงนั้นจะต้องไม่ใช่สิ่งที่มีเราสักคนนึงคอยควบคุมบังคับ หรือคอยสร้างให้มันเกิดขึ้นมา
#เราต้องหายไป สิ่งต่างๆที่เรียกว่ากายกับใจนี้ มันถึงจะแสดงความจริง...จริงๆ
ผมพูดหลายครั้งเหมือนกับเราไปส่องสัตว์ จะต้องให้มันไม่รู้ว่าเราแอบส่องมันอยู่ เราถึงจะเห็นชีวิตจริงๆของมัน
เพราะฉะนั้น คำว่ารู้ คำว่าสติ ที่ผมพูดไปตอนต้นว่ามันมีคุณค่ามาก เราฟังมามาก จนเราอยากจะทำมันขึ้นมาเอง เราอยากจะร่วมขบวนการสร้างมันขึ้นมา และเมื่อเราร่วมขบวนการสร้างมันขึ้นมา มันก็ไม่จริง
อย่าลืมที่ผมบอกว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ไร้ความพยายาม นั่นแปลว่าถ้ามีความพยายามแม้แต่นิดเดียว นั่นคือการแทรกแซง และนั่นไม่จริง
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การที่เราพยายามจะปฏิบัติ หรือการรีบปฏิบัติ หรือหาวิธีปฏิบัติยังไง แต่สิ่งที่เราจะต้องทำ...ถ้าต้องหา #คือหาว่าอะไรคือจริง อะไรที่เป็นสติจริงๆ อะไรที่เป็นรู้จริงๆ
เราต้องรู้ชัดว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้น อันนี้ไม่ใช่ อันนั้นไม่ใช่ อันโน้นไม่ใช่ จนเราค้นพบว่า อะไรเป็นปัจจัย ให้รู้หรือสติที่เป็นจริงนั้นเกิดขึ้น
ถ้าเราค้นพบแล้ว เราจะรู้ว่า ความจริงคำว่ารู้ หรือสตินั้น เป็นผลพลอยได้จากการมีชีวิตจริงๆ
ชีวิตจริงๆ คือ การใช้ชีวิตอย่างเป็นปัจจุบัน ขณะนี้
...
อย่าลืมว่าสิ่งที่ผมสอนทั้งหมด อย่าให้มันกลายเป็นความเชื่อ อย่าให้มันกลายเป็นสิ่งที่ถูก แต่ค้นพบในหัวใจของเราเองว่าสิ่งที่ผมพูดมันเป็นจริง มันเป็นชีวิตจริงๆ
อย่าให้ความเป็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเราเป็นอยู่ได้ กลายเป็นสิ่งที่เราบอกตัวเองว่าเราปฏิบัติถูกแล้ว
แต่ให้ความเป็นอยู่ในขณะนี้อย่างเป็นปัจจุบันนี้ กับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นความรู้สึกด้วยหัวใจของเราเองว่า
...เราได้มีชีวิตที่แท้จริงแล้ว
...เราได้มีชีวิตจริงๆแล้ว
...เราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในความคิด ความคาดหวัง ในสิ่งที่ควรจะเป็นต่างๆ ที่เราเชื่อ
...เราไม่มีชีวิตปลอมๆ แบบนั้นอีกแล้ว
มีใครคิดไหมว่า แล้วถ้าเราได้ใช้ชีวิตจริงๆแล้ว ต่อไปมันจะดีใช่ไหม? เราจะดีกว่านี้ใช่ไหม?
จะเห็นว่าความคิดที่เนื่องด้วยตัวเรานั้น พาเราออกทะเลเสมอ พาเราออกจากความจริงเสมอ มันหลอกเราเก่งเหลือเกิน
ความจริงนั้นไม่มีที่พึ่ง มันไม่รู้จะอิงกับอะไร
แต่สิ่งที่เราอยากจะไปถึง มันมักจะอิงกับความคิดของเราว่ามันดี มันถูก มันอิงกับระบบซักอย่างนึง...ความเชื่อ ทฤษฎี ความอยาก
ชีวิตที่เป็นอิสระ ชีวิตที่ไม่มีความพึ่งพิง ชีวิตแบบนั้นเป็นยังไง? เป็นจริง
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การปฏิบัติที่เราพยายามทำกัน ทีละขั้นทีละตอน
#แต่การปฏิบัติธรรมคือการค้นพบว่าอะไรคือจริง ชีวิตแบบไหนที่เป็นจริง
#Camouflage
04-06-2565

Monday Dec 19, 2022
298.มหากาพย์ของเขาวงกต...เรื่องของความสุข
Monday Dec 19, 2022
Monday Dec 19, 2022
บรรยายเมื่อ 28-05-2565
“ละนันทิ” คือ ละความเพลิดเพลินพอใจในสิ่งที่เป็นความสุขหรือความทุกข์
นึกออกมั้ยว่าความทุกข์ เราก็เพลิดเพลินได้นะ เวลาเราโกรธ เราก็มันส์เหมือนกันนะ...เลิกไม่ได้
เราเอาคำสอนว่า “ละนันทิ” “มาทำ” คือหมายความว่า เมื่อความทุกข์เกิดขึ้น...เรารีบออกจากมัน หรือเมื่อความสุขเกิดขึ้น...เรารีบออกจากมัน ละมัน ไม่มีความเพลิดเพลินต่อมัน
คำถามผมคือว่า ทำไมเราทำแบบนั้น?
เพราะไอเดียมันบอกเราว่า ละนันทิได้ เราจะหลุดพ้น
ไอเดียที่ 2 บอกอีกว่า ก็คำสอนเขาบอกว่า ต้องละนันทิ ถึงจะถูก ถ้าเพลิดเพลินอยู่ มันก็ไม่ถูกสิ
เห็นไหมว่า ในไอเดียของเขาวงกต เราก็มีไอเดียเล็กๆ ย่อยๆ อยู่ในนั้นอีก ที่เราใช้ในการปฏิบัติธรรม
แล้วเราก็เชื่อว่าดี แล้วก็ถูกด้วย
เพราะฉะนั้น ในแง่นึงคือ การที่เราพยายามทำสิ่งที่ #ถูกและดี ภายใต้ไอเดียอย่างหนึ่งที่เรา #เชื่อ ตลอดเวลา
แต่อย่างที่ 2 คืออะไร?
เราไม่เข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนจริงๆ
ท่านบอกว่า “เพราะเห็นตามความเป็นจริง จึงเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่าย จึงคลายความเพลิดเพลิน เมื่อคลายความเพลิดเพลิน ก็คลายจากราคะ เมื่อคลายจากราคะและความเพลิดเพลิน จึงหลุดพ้น”
เห็นมั้ยว่า การละความเพลิดเพลินได้นั้น มันมีเหตุ แต่เรา "เอามันมาทำ!"
เหตุของมันคืออะไร? คือเห็นตามความเป็นจริง หรือที่ผมสอนว่าคือ #การแจ่มแจ้งในสิ่งนั้นๆ
เราค้นพบได้ไหมว่า ชีวิตที่แท้จริง ที่เป็นจริงนั้น คือ #ความแจ่มแจ้งในทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่นี้
ไม่ใช่การที่เราจะกลายเป็นอะไรที่ดีกว่า
ไม่ใช่การที่เรากำลังฝึกอะไรบางอย่าง เพื่อจะมีอะไรบางอย่าง เพื่อจะไปถึงอะไรบางอย่าง หรือฝึกอะไรบางอย่าง เพื่อจะไม่มีอะไรบางอย่าง จะได้รู้สึกดีกว่านี้
แต่เราใช้สติปัญญาทั้งหมด พละกำลังทั้งหมด ในแต่ละวันที่เราตื่นขึ้นมา ที่จะแจ่มแจ้ง กระจ่างชัดในสิ่งทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
ไม่ว่ามันจะเป็นความสุข หรือความทุกข์ ความอยาก ความต้องการ ความบีบคั้น ความไม่อยาก ความไม่ต้องการ กระจ่างชัดกับทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตเราได้ไหม
และอย่ามีคำถามถามว่า กระจ่างชัดลงไปในแต่ละขณะของชีวิต หรือเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต แล้วเราจะได้อะไร
นั่นคือลูป (Loop) ของความคิดเก่าๆ ที่เราเข้ามาปฏิบัติธรรม เราจะได้อะไร เราจะดีกว่านี้ใช่ไหม ถ้าทำแบบนี้
.
เราพยายามละความเพลิดเพลินพอใจในความสุขนั้น ด้วยความถูกต้องตามทฤษฎีที่เราเชื่อ เราใช้อะไร?
เราต้องใช้ความอดทนมาก ใช้เจตนางดเว้นมาก ใช้หัวใจที่มีความแบ่งแยกอย่างถึงที่สุด
และนั่นคือสิ่งที่เรานักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ทำกัน คือ #ใช้ความอดทนอย่างไม่มีปัญญา
ถ้าผมถามว่า เราติดรสชาติในความสุขนั้นเพราะอะไร? เราตอบได้ไหม?
เพราะเราไม่เข้าใจว่าความสุขคืออะไร
เราไม่เข้าใจว่า สิ่งที่เราเรียกว่าความสุขนั้นคืออะไร มันคืออะไรกันแน่ มันเป็นความสุขจริงไหม?
สิ่งที่เราเรียกว่าความสุข ที่เราติดอยู่ในรสชาติของความสุขนั้น มันประกอบด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง ที่พร้อมจะแปรปรวนไม่คงที่
แล้วเราใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการที่จะได้ความสุขจากผัสสะนั้นๆ ในการควบคุมองค์ประกอบหลายอย่างให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเราจึงจะได้รับความสุขจากสิ่งๆนั้นได้จริงๆ ซึ่งสำหรับผมแล้ว มันคือความทุกข์อย่างมาก
เพราะฉะนั้น ผมไม่ได้บอกว่า นักปฏิบัติธรรมไม่ควรมีความสุข เราทุกคนมีความสุขได้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือว่า #เรากระจ่างชัดกับสิ่งต่างๆ หรือสิ่งที่เรียกว่าความสุขนี้ได้ไหม
เราได้รับผัสสะที่น่าพอใจ โดยไม่หลงกลมันได้ไหม?
"หนูรู้อยู่" นั่นเป็นเรื่องที่ตื้นเขินมาก ผมพูดถึงความกระจ่างชัดในสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น เราชาวพุทธลึกซึ้งกับสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์มากๆ เราตื้นเขินกับสิ่งที่เรียกว่าความสุขมากๆเหมือนกัน
เวลาเราฟังคำว่า ละความเพลิดเพลินในความสุข แต่เหล่านักบวชนั่งสมาธิ ทำสมถกรรมฐาน มีความอิ่มเอิบในความสุขจากสมาธิ ทำไมถึงทำแบบนั้น?
เพราะความสุขนั้นเป็นส่วนประกอบหนึ่งในชีวิต พระพุทธเจ้าท่านถึงได้สอนว่า ต้องทำสมถกรรมฐานด้วย แต่ปัญหาคือผู้ฟังคำสอนเอามาทำตามนั้น ไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งกับคำสอนต่างๆ ที่ท่านสอน
การนั่งสมาธิก็เพียงเพื่อจะได้รับความสุขในแบบที่ชาวโลกหาความสุขกัน โดยที่ไม่มีความกระจ่างชัด ในความเป็นอยู่ของสมาธินั้นๆ
ไม่มีความกระจ่างชัดในความอยากได้ความสุขจากสมาธิ จึงเกิดเรื่องราวต่างๆ ในเขาวงกตที่ผมบอกคือ การติดสมาธิ คือการไม่ชอบความฟุ้งซ่าน แล้วก็อยากจะมาทำความสงบ
เพราะฉะนั้น เนื้อหาต่างๆ ในคำสอนต่างๆ ถ้าเราไม่กระจ่างชัด ว่าอะไรคือชีวิตที่แท้จริง เราจะหลงทางอยู่ในคำสอนเหล่านั้น
มันเหมือนๆ แต่มันไม่ใช่ พูดคล้ายๆกัน แต่มันไม่ใช่
ถ้าเราพลาดหัวใจของความมีชีวิตที่แท้จริง เราพลาดทั้งหมด ให้มันเหมือนแค่ไหนก็ตาม เราก็พลาด
#Camouflage
28-05-2565

Sunday Dec 11, 2022
297.โลกะวิทู ผู้รู้แจ้งโลก
Sunday Dec 11, 2022
Sunday Dec 11, 2022
บรรยายเมื่อ 15-05-2565
ทันทีที่เราเชื่อ ความจริงก็ได้หายไป
การค้นหาว่าอะไรคือความจริง...ก็ได้หยุดชะงักลง
เราไม่เคยค้นหาความจริงของการกระทำบางสิ่งบางอย่าง ว่ามันส่งผลอะไรได้บ้าง มันส่งผลดีอย่างเดียวไหม
เมื่อเราเชื่อและคล้อยตาม โดยไม่มีการใช้ปัญญาที่จะไตร่ตรองพิจารณา ว่าสิ่งที่กำลังชี้นำชีวิตนี้ ความจริงของมันคืออะไรกันแน่
ชีวิตที่มีทิศทางไปในทิศทางสักอย่างหนึ่ง ท้ายที่สุดมันเป็นยังไงกันแน่ จบสิ้นที่ตรงไหน
เราไม่เคยเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เราไม่เคยเข้าใจสิ่งที่คอยบงการชีวิตนี้อยู่ ว่ามันคืออะไรกันแน่
เราใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความเชื่อ ภายใต้เหตุผล ภายใต้ความคิดในเชิงของคู่ทั้งหลาย...ถูกผิด...ดีชั่ว
เรารู้เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตนั้น แต่เราไม่รู้ว่าเราอยู่ข้างในนั้น
เรายังไม่เคยเห็นโครงสร้างของความขับดันทั้งหมดของชีวิตนี้ ว่ามันถูกขับดันด้วยอะไร
เราเลิกค้นหา ก็เพราะว่าชีวิตของเรานั้นมีหลักการอันหนึ่งไว้แล้ว เราเชื่อหลักการอันหนึ่งไว้แล้ว
เราเข้าใจไหมว่า เมื่อเราเชื่อหลักการอันหนึ่งไว้แล้ว มันส่งผลอัตโนมัติทันทีว่าเราจะหยุดค้นหาความจริง มันเป็นธรรมชาติของความเชื่อ
เช่น เราเชื่อว่ากิเลสนี้เป็นสิ่งเลวร้าย เราถูกสอนมาแบบนั้น ในมุมมองของของคู่...แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งเลวร้าย แต่ทันทีที่เราเชื่อ ลงความเห็นว่ามันคือสิ่งเลวร้าย เราจะผลักไสมัน เราจะพยายามไล่มัน เราจะพยายามไม่มีมัน
การกระทำเช่นนั้นคือ การผลักไสธรรมะ
กิเลสคือธรรมะ
เราเกลียดมันเท่าไหร่ เรายิ่งห่างไกลจากธรรมะเท่านั้น นี่คือความหมายที่ว่ากิเลสกับพุทธะนั้นคือสิ่งเดียวกัน
ถ้าเราไม่อยากมีกิเลส ไม่ชอบกิเลส เราจะไม่มีวันเจอพุทธะ
ผมเคยถามคนดีๆ หลายคนที่เป็นนักปฏิบัติธรรม เมื่อผมเอ่ยถึงกิเลสอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง ในใจของเขารังเกียจทันที มีความรู้สึกในทางลบทันที
นี่คือหัวใจที่สำคัญ ที่ดูเหมือนจะเล็กน้อย แต่ถ้าเราไม่มีหัวใจที่เป็นกลางอันนี้ เราปฏิบัติธรรมไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ความจริง เป็นโลกะวิทู ผู้รู้แจ้งโลก
คำว่าโลกนี้คืออะไร? โลกนี้ประกอบด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกเรียกว่าดีหรือไม่ดี
ถ้าเรารังเกียจกิเลส พยายามที่จะละมัน พยายามที่จะไม่มีมันให้เร็วที่สุด เราจะเป็นโลกะวิทูได้ไหม?
เพราะฉะนั้น หัวใจของชาวพุทธ นักปฏิบัติธรรม #เรามีความเข้มแข็งและแข็งแกร่งมากในการแบ่งแยกระหว่างดีกับไม่ดี เราไม่เคยเป็นกลางกับมันเลย
ทันทีที่ชีวิตนั้นแบ่งแยกระหว่างดีกับไม่ดีอย่างเข้มแข็ง แข็งแกร่ง โดยธรรมชาติของความเชื่อแบบนั้น จะผลักให้เรามายืนอยู่ฝั่งที่ดี และประณามฝั่งที่ไม่ดี
จริงๆ แล้วการปฏิบัติธรรมของเราชาวพุทธนั้น เป็นแค่การเลือกข้าง #เราเลือกข้างที่เราเชื่อเฉยๆ
และเมื่อเราเลือกข้าง แบ่งข้าง การค้นหาความจริงทั้งหมดก็จะจบสิ้นลงไป
ความเป็นโลกะวิทู ผู้รู้แจ้งโลกนี้ ก็หยุดชะงักลง
ผู้รู้แจ้งโลกคืออะไร? คือความแจ่มแจ้งในอริยสัจ 4
มาถึงตอนนี้ เราทุกคนที่แบ่งข้างมาตลอดชีวิตจะทำยังไงต่อหัวใจแห่งการแบ่งข้างนั้น มันเป็นนิสัยของเราไปแล้ว
นี่คือเรื่องใหญ่ ซึ่งใหญ่กว่าการที่คนคนนึงจะปฏิบัติธรรมยังไงดี ต้องทำอะไรบ้าง
เรายังทำอะไรไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ได้หัวใจอันนั้นมา
#Camouflage
15-05-2565

Thursday Dec 01, 2022
296.เราไม่เคยอยากหายไป
Thursday Dec 01, 2022
Thursday Dec 01, 2022
บรรยายเมื่อ 07-05-2565
เรารู้จักอิสรภาพจริงไหม
เรารู้จักแต่อิสระที่จะไปทำอะไรก็ได้ตามใจเรา
และเรารู้อีกอย่างว่าคือ อิสระจากสิ่งต่างๆ ที่บีบคั้นเราได้
แต่ผมถามว่าเราเคยรู้จักไหมว่า_ชีวิตนี้เป็นอิสรภาพด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว
ไม่ใช่เรามีอิสรภาพแล้ว เราว่างแล้ว
ชีวิตนี้ดั้งเดิมของมันก่อนที่จะมีความเห็นผิดว่ามีเราอยู่ มันเป็นอิสรภาพของมันอยู่แล้ว
ไม่ใช่ว่าเราเป็นสิ่งนั้นแล้ว
เราถึงอิสรภาพแล้ว
เราว่างแล้ว
เราเป็นพระอรหันต์แล้ว
เราเป็นอิสระแล้ว
#มันเป็นการค้นพบ
ไม่ใช่ใครคนหนึ่งในวันนี้ กลายเป็นใครอีกคนหนึ่งในวันข้างหน้า
นั่นมันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น
#ชีวิตนั้นเหมือนเป็นแค่พลังงานอิสระอันหนึ่ง แค่นั้น
และการที่เราจะค้นพบว่าชีวิตนี้เป็นแบบที่ผมบอก มันไม่ใช่การทำอะไรตามความคิด ทฤษฎี สิ่งที่ถูกสอนมา
และผมไม่ได้บอกว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ถูก
แต่ชีวิตของเราทั้งหมดจะต้องเป็นจริงเท่านั้น
ความแจ่มแจ้งในชีวิตนี้ โดยที่ไม่มีอิทธิพลของทฤษฎี ความถูกความผิดใดๆ เข้ามาครอบงำเลย ชีวิตจึงจะกลายเป็นจริงได้
สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับชีวิตของมนุษย์ หรือว่านักปฏิบัติธรรม ก็คือ…
เรามีชีวิตจริงๆไม่ได้
เรามักจะถูกความรู้ ความเชื่ออะไรก็ตามในอดีตทั้งหมดเข้ามาแทรกแซงความเป็นจริงในขณะนี้
แล้วเมื่อมันเข้ามาแทรกแซงได้ มันนั่นแหละคือตัวบิดเบือนความแจ่มแจ้งในขณะนี้ทันทีอย่างแนบเนียน
มันคือตัวขัดขวาง
สิ่งที่ผมอยากให้พวกเราทุกคนตระหนักไว้ให้ชัดเจนคือ…
ชีวิตไม่ใช่เรื่องว่า อะไรควรจะเป็นยังไง
ชีวิตเป็นแค่ความแจ่มแจ้งในขณะนี้ ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แค่นั้น
และอย่าให้ความแจ่มแจ้งที่ผมบอกนี้กลายเป็นทฤษฎี มันต้องไม่กลายเป็นทฤษฎีในชีวิตของเรา
มันต้องเป็นจริง มันต้องเป็นสิ่งที่เราเป็นจริงกับมัน
มีคนถามผมว่า เขาจะต้องพร้อมสละทางโลกแล้วใช่ไหม? ผมถึงจะให้มาเจอได้ ต้องออกบวชใช่ไหม?
ผมบอกว่าไม่ใช่แค่สละทางโลก แต่ต้องสละทางธรรมด้วยถึงจะมาเจอกันได้
ถ้าจะมาเอาอะไร
แปลว่ายังไม่เข้าใจอะไรเลย
#Camouflage
07-05-2565

Sunday Nov 13, 2022
295.ทัศนะอันบิดเบี้ยว
Sunday Nov 13, 2022
Sunday Nov 13, 2022
บรรยายเมื่อ 16-04-2565
ลึกที่สุดของเราไม่ว่าวิธีไหนที่เราทำ ความหวังสุดท้ายของเราก็คือ
...ต้องการที่จะทำลายมัน
...หรือต้องการที่จะไม่มีมัน
...ต้องการที่จะดับมัน
#แล้วเราจะได้ไม่ทุกข์ซักทีนึง
เพราะฉะนั้น ลึกที่สุดของมนุษย์เรา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ล้วนสนองอัตตาตัวตนของตัวเองทั้งนั้น
และเราถูกสอนให้มีทัศนะต่อสิ่งหนึ่งดี สิ่งหนึ่งชั่วร้าย สิ่งหนึ่งถูก สิ่งหนึ่งผิด และเมื่อเรามี #ทัศนะแห่งการแบ่งแยกแบบนั้น ที่เหลือทั้งหมดของชีวิตเรา จะไปในทิศทางนั้น และไปในทิศทางที่ผิดพลาด
เราไม่เคยที่จะรู้จักโลกนี้ตามความเป็นจริง เราไม่เคยที่จะรู้จักและเข้าใจสิ่งต่างๆ รวมทั้งชีวิตนี้ตามความเป็นจริง
เราไม่เคยลงลึกกับสรรพสิ่งรอบตัวและสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา” โดยที่ไม่มีทัศนะอันบิดเบี้ยวคอยชี้นำอยู่ข้างหลัง
เราไม่เคยที่จะเปล่าเปลือยล่อนจ้อนที่จะเห็นชีวิตนี้…โลกนี้…ทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นมันอย่างแท้จริง เราไม่เคยมีความสามารถนั้นเลย
หลวงพ่อสุเมโธท่านเล่าว่า ช่วงนี้ท่านเจอเรื่องเกี่ยวกับคนตายเยอะ ท่านไม่รู้สึกอะไรเลยไหม? ท่านบอกว่าท่านรู้สึก ท่านมี Feeling ไม่ใช่เป็นผีตายซากที่ไม่รู้สึกอะไรเลย
ท่านบอกว่าความรู้สึกเสียใจก็เป็นอย่างนั้น
นี่คือความสัมพันธ์ต่อมัน คือมันก็เป็นแค่ความรู้สึก
แต่เราคิดอะไร? เราคิดว่า อ๋อ…มันจะไม่มีอารมณ์ ความรู้สึก
ถ้ามันไม่มี..เราจะได้ไม่ทุกข์
เราไม่เข้าใจว่า เมื่อมันไม่มีเราแล้ว! มันจะมีอารมณ์อะไร มันก็เรื่องของมัน
ความเชื่อของพวกเราคือ คิดว่าอารมณ์เสียใจเป็นอารมณ์ของโทสะ เป็นอารมณ์ของทุกข์ มันต้องไม่มี...ถึงจะถูก
เห็นมั้ยว่าชีวิตเราผิดธรรมชาติขนาดไหน เราดัดแปลงตัวเอง ฝึกตัวเองให้มันผิดธรรมชาติ แล้วเราก็นึกว่าเรากำลังทำได้ถูกเลย ตามหนังสือ ตามสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมานานแสนนาน
เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกว่าเราไม่เคยจะค้นพบความจริงอะไรด้วยตัวเอง #เราเชื่อแล้วเราก็จะทำให้ได้แบบนั้น นี่คือความบ้องตื้นของนักปฏิบัติธรรม
แล้วหลวงพ่อสุเมโธพูดแบบนั้น เราจะเชื่ออีกไหม? นี่คือเรื่องที่เราต้องค้นพบด้วยตัวเองเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น มีทัศนะต่อการปฏิบัติธรรมว่ามันคืออะไรกันแน่ให้ถูกต้อง เลิกเป้าหมายที่ผิดๆทั้งหลายไป แล้วชีวิตที่เป็นอริยสัจจึงจะเกิดขึ้นได้ ความเข้าใจสิ่งที่เรียกว่ากองทุกข์หรือชีวิตนี้อย่างแจ่มแจ้ง จึงจะเกิดขึ้นได้
#Camouflage
16-04-2565

Monday Nov 07, 2022
294.ถ่องแท้...ทะลุปรุโปร่ง
Monday Nov 07, 2022
Monday Nov 07, 2022
บรรยายเมื่อ 09-04-2565
เราต้องมีความแจ่มชัดก่อนว่าอะไร "ไม่ใช่" การปฏิบัติธรรม
ถ้าเรายังคงถูกครอบงำด้วยความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ลองสังเกตดู...มันเป็นไอเดียที่มีเราคนนึงกำลังทำตามไอเดียที่ดีที่สุดในโลกนี้อันนึงที่เราเชื่อ
การที่มีเราคนนึงคอยทำตามไอเดียที่เราเชื่อว่าดีที่สุด จากบุคคลที่น่าเชื่อถือที่สุด จากตำราที่น่าเชื่อถือที่สุด เราเคยเห็นมั้ยว่ามีเราคนนึงเกิดขึ้น และกำลังทำตามสิ่งนั้นๆ
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมการฝึกของเราที่เราเรียกว่าการฝึกปฏิบัติธรรมนั้น อัตตามันจึงไม่เคยหายไปเลย
ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่ผมพูด เราจะรู้ว่ามันไม่เคยหายไป และมันไม่มีวันที่จะหายไป
เพราะมีเราคนนึงรองรับความคิดนั้น มีเราคนนึงสร้างภาพจากไอเดียนั้น มีเราคนนึงกำลังสร้างเส้นทางจากความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมนั้นๆ และทั้งหมดนั้นไม่ใช่การปฏิบัติธรรม
ก่อนที่เราจะปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง เราต้องรู้จักสิ่งที่ตัวเองเคยทำมาทั้งหมดก่อนว่า ที่เราเชื่อว่า ใช่นั้น...มันใช่จริงมั้ย?
ถ้าเรายังไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองทำมาทั้งหมดว่ามันคืออะไรกันแน่ ต่อให้เราได้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงว่ามันเป็นยังไง มันก็จะเป็นแค่ของจริงกับของปลอมที่คอยผสมกันในชีวิตของเรา จนเราไม่รู้เลยว่าอะไรมันจริง อะไรมันปลอมกันแน่
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม คือ #ความถ่องแท้ในความเป็นทั้งหมดของชีวิต #ความทะลุปรุโปร่งในทุกแง่มุมของชีวิตนี้
และถ้าเราใช้ชีวิตที่เป็นความถ่องแท้และทะลุปรุโปร่งนี้ ชีวิตเราจะเป็นจริง ที่ผมบอกว่าเราต้องใช้ชีวิตจริงๆ...คือแบบนี้
ความทะลุปรุโปร่งของชีวิต ไม่ใช่ความแบ่งแยก มันเป็นเพียงความทะลุปรุโปร่งในแต่ละขณะแค่นั้น และไม่มีการสะสม ไม่มีการเก็บเอาไว้ และไม่มีเพื่ออะไรต่อไปในอนาคต
การจบลงของอัตตานั้น เกิดขึ้นขณะนี้เลย เหลือเพียงความดำรงอยู่อย่างแท้จริงในขณะนี้
ไม่มีความครอบงำของไอเดีย ของความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม
ไม่มีว่าเป็นอย่างนี้...แล้วอนาคตเราจะดีกว่านี้
หรือแม้กระทั่งไม่มีว่าความดำรงอยู่ในขณะนี้...ถูกแล้ว
ไม่มีภาพทั้งหมดต่อชีวิตนี้ในขณะนี้ ไม่มีภาพถัดไปต่อจากขณะนี้ ไม่มีภาพก็หมายถึงไม่มีอัตตามารองรับในแต่ละขณะของชีวิต
และนี่คือคำว่าปัจจุบัน ไม่ใช่เราอยู่กับปัจจุบัน #แต่ชีวิตเป็นปัจจุบันอยู่แล้ว
เหมือนผมสรุปให้เสร็จแล้วว่า “ชีวิตนี้เป็นแค่การเห็น” จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่เข้าใจด้วยตัวเองว่า อะไรไม่ใช่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง…
เราฟังๆ แล้วก็ผ่านๆ ไป แล้วก็ถามอาจารย์ว่า “สรุปว่าทำยังไง?” “อ๋อ ชีวิตเป็นแค่การเห็น” “โอเค ต่อไปนี้เราจะแค่เห็น”
นี่คือความพังพินาศของการปฏิบัติธรรม เพราะการที่เราจะแค่เห็น…ก็คือไอเดียหนึ่งเหมือนเดิม
มันไม่มีไอเดียนั้น ชีวิตมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วโดยไม่ต้องใช้ไอเดียในการชี้นำให้มันเป็น เราค้นพบมั้ย? แค่นั้น
เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่การฝึก มันคือการค้นพบ และการค้นพบนั่นหมายถึงความฉับพลัน…ความเข้าใจอย่างฉับพลันต่อชีวิตนี้ว่ามันคืออะไรกันแน่
ไม่มีใครจะที่สามารถนำพาเรา ที่จะค้นพบความจริงหรือค้นพบสิ่งที่เป็นจริงได้ นอกจากตัวเราเอง
.
ผมอยากให้เห็นโครงสร้างว่าชีวิตเราเก่ายังไง เราใช้ชีวิตจริงๆ ไม่ได้ยังไง เราค้นพบชีวิตจริงๆ ไม่ได้ยังไง ชีวิตเราทำไมไม่ใหม่ซักทีนึง เราอยากจะพ้นจากความครอบงำของกิเลส #แต่เรามาถูกสิ่งที่ตรงข้ามกับมันครอบงำแทน
เราต้องรู้จักสิ่งเหล่านี้ที่มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตจริงๆ ของเรา ถ้าเราไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเราเอง เราก็จะไม่มีวันพ้นจากความครอบงำใดๆ ได้เลย
เราเพียงแค่อยู่ในมายาของความครอบงำ และพยายามจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าภายใต้กะลาใบนั้นแค่นั้น
เพราะฉะนั้น เราทุกคนจะต้องทะลุปรุโปร่งต่อชีวิตนี้ ต่อความเป็นทั้งหมดของชีวิตนี้ เราจึงจะสามารถที่จะพ้นจากความครอบงำทั้งปวงได้ พ้นจากความครอบงำไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ตาม
#Camouflage
09-04-2565

Sunday Oct 30, 2022
293.ไม่มีไป ไม่มีมา
Sunday Oct 30, 2022
Sunday Oct 30, 2022
บรรยายเมื่อ 02-04-2565
เพราะเราไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือการปฏิบัติธรรม เราจึงต้องใช้ #ความอยาก ในการปฏิบัติธรรม
ความอยากปฏิบัติธรรมนั้น ใช้ได้กับเมื่อคนคนนึงมีเป้าหมายเท่านั้น มีเป้าหมายที่เป็นมิจฉาทิฏฐิด้วยคือ #มีเราอีกคนนึงรอรับผลข้างหน้านั้น
บางคนอาจจะคิดว่า ถ้าไม่มีเป้าหมายเอาไว้ล่อลวงเราแบบนั้น มันก็คงไม่มีใครที่จะอยากปฏิบัติธรรมหรอก เพราะมันไม่มีใคร ที่จะได้อะไรจากการทำสิ่งๆนั้น...แล้วใครจะทำ?
ผมก็ตอบว่า...ถูกแล้ว มันไม่ควรจะมีการปฏิบัติธรรมด้วยความอยากแบบนั้น เพราะนั่นไม่ใช่การปฏิบัติธรรม นั่นเป็นนิยายทางธรรมที่คนแต่ละคนคิดสร้างขึ้นมา เพื่อจะไปถึงที่นั่น
มีเราคนนึงที่ยังคงไม่พอใจกับความเป็นอยู่ทั้งหมดในขณะนี้ และหวังว่าเราจะเป็นอีกสิ่งๆ นึงข้างหน้า ที่ดีกว่านี้ ที่น่าพอใจ ที่เป็นไปตามทฤษฎีต่างๆ ที่เราถูกสอนมา อ่านมา ร่ำเรียนมา เราต้องการจะไปที่นั่น
ลึกที่สุดในหัวใจ...ชีวิตการปฏิบัติธรรมของเรา คือพร้อมจะเคลื่อนไปที่นั่น...ในอนาคต
เราอยากจะเคลื่อนออกจากที่นี่ เพราะที่นี่ไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ ที่เป็นอยู่ ที่มีอยู่ทั้งหมดขณะนี้ ไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่
หัวใจของเรานั้นเต็มไปด้วยความอยากจะเคลื่อนไปข้างหน้า หรือเรียกว่าความก้าวหน้าก็ได้...มันต้องดีกว่านี้
เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราเป็นยังไง? ...ชีวิตนั้นเป็นของเราจริงๆ ชีวิตนี้ไม่เคยไม่มีเราเลย เป็นของเราตลอดเวลา และเป็นหัวใจที่พร้อมจะไปและพร้อมจะมาตลอดเวลา
มันไม่เคย…ไม่มีไปและไม่มีมา เพราะหัวใจของเรามันอยากจะดีกว่านี้ตลอดเวลา
เราอยากจะมีหัวใจหรือจิตใจที่ดีกว่าตอนนี้ที่เป็นอยู่
คุณสมบัติดีๆ ที่เขาพูดถึงกันในการปฏิบัติธรรม...เราอยากมี และอะไรที่มันไม่ดีทั้งหลายที่เขาพูดถึงกันในการปฏิบัติธรรม...เราไม่อยากมี เราอยากสลัดมันทิ้งไป
ถามตัวเองดูลึกๆ เลยว่า นี่คือหัวใจของเราใช่มั้ย?
และด้วยหัวใจนั้นจึงเกิดผลอันสืบเนื่องในการ “ทำ” การปฏิบัติธรรมที่ผิดตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะลงทุนแค่ไหนกับชีวิตก็ตาม
เราต้องค้นพบ #ความไม่มีไป_ไม่มีมา ด้วยตัวเอง
เพียงแค่เข้าใจสิ่งต่างๆ ทั้งหลายเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมที่ผิดพลาดทั้งหมดให้ได้แค่นั้น
#พอเราเข้าใจสิ่งที่ผิดพลาดทั้งหมดได้_สิ่งที่ถูกต้องมันก็เกิดขึ้นเอง
แต่ถ้าเรายังเห็นกงจักรเป็นดอกบัวอยู่ คือทำสิ่งไม่ถูกอยู่ เพราะไม่รู้เรื่อง ต่อให้ผมพูดสิ่งที่ถูกต้องเท่าไหร่ มันก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี แล้วเราก็ผสมกันเละเทะกับสิ่งที่ตัวเองเข้าใจว่าถูก...แต่จริงๆ มันผิด
ความไม่มีไป ไม่มีมา คือ การรู้ซื่อๆ เห็นเฉยๆ
ชีวิตเป็นการรับรู้เฉยๆ โดยที่ไม่มีไอเดียของเราสักคนนึงกำลังบอกว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันดีหรือมันไม่ดี แล้วถ้ามันไม่ดี...จะทำยังไงกับมันดี แล้วถ้ามันดี...จะทำยังไงกับมันดี การรับรู้เฉยๆ ไม่มีสิ่งเหล่านี้
เราไม่เคยค้นพบชีวิตที่...ถ้าไม่มีเราสักคนนึงอยู่ แล้วมันเหลืออะไร แล้วใช้ชีวิตนั้น แค่นั้นเอง
ความไม่มีไป ไม่มีมานั้น เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายในการปฏิบัติธรรม
เราค้นพบชีวิตนั้น ใช้ชีวิตนั้น และในระหว่างทางของชีวิตนี้ มันมีไปและมันมีมา แต่เรารู้ว่า นั่นมันไม่ถูก นั่นเป็นความหลงผิด เกิดการตัดสินแบ่งแยก กำลังถูกหลอกอีกแล้วกับสิ่งที่ดีๆทั้งหลาย
.
ถ้าเราไม่เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมคืออะไร...สิ่งที่ผิดเราก็คิดว่าถูก แต่สิ่งที่ถูกเราก็ไม่ทำ
เพราะฉะนั้น ชีวิตของนักปฏิบัติธรรมจึงเกิดความสงสัยสงสัย ว่าปฏิบัติถูกต้องไหม หาคนช่วยบอกเราหน่อย ทำไงต่อ?
ทำไมถึงมีแต่ความสงสัย? #เพราะชีวิตไม่เคยค้นพบความจริงเลย ได้แต่เชื่อคนอื่นเขา
ถ้าเราไม่เคยเข้าใจหรือค้นพบอะไรที่มันเป็นจริงด้วยตัวเองเลย ไม่ว่าเราจะรับข้อมูลที่ถูกต้องบริสุทธิ์เท่าไหร่ มันก็ไม่สามารถจะช่วยเปลี่ยนชีวิตของเราได้
ท้ายที่สุดเราต้องพึ่งตัวเองให้ได้...จริงๆมันไม่ใช่ท้ายที่สุด มันต้องตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย
ถ้าเราไม่เคยค้นพบความจริงอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย หรือเกี่ยวกับชีวิต หรือเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าการปฏิบัติธรรมว่ามันคืออะไรกันแน่ สิ่งสังเกตง่ายที่สุดคือ เราจะมีแต่ความสงสัย...สงสัยตลอดชีวิต ไม่แน่ใจตลอดชีวิต วิ่งหาครูบาอาจารย์ตลอดชีวิต แล้วมีแต่ความกลัวตลอดชีวิต
เราเป็นอย่างนี้เพราะอะไร?
เพราะเราใช้พลังทั้งหมดลงทุนกับคนอื่น แทนที่จะลงทุนกับตัวเอง

Saturday Oct 22, 2022
292.ชีวิตของเรา...ไม่เคยจริง
Saturday Oct 22, 2022
Saturday Oct 22, 2022
บรรยายเมื่อ 26-03-2565
การปฏิบัติธรรมจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเห็นทั้งหมดที่ผมพูดนี้ คือเห็นว่ามีไอเดียหนึ่งเกิดขึ้นหลังจากมีการกระทบแล้วเกิดกิเลสบางอย่าง เกิดอกุศลบางอย่าง เกิดกุศลบางอย่าง แล้วมีไอเดียต่อมันที่จะกระทำการบางอย่างต่อมัน
เห็นทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ทำอะไรต่อมัน
เห็นว่าไอเดียเหล่านั้นเกิดขึ้นมาจากไหน เกิดขึ้นมาจากความรู้ หนังสือ คำบอกเล่าจากผู้รู้ทั้งหลาย ว่าต้องทำยังไงต่อมัน
เราได้แต่เชื่อ
ฟัง...อ่าน...เชื่อ
เราเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งทั้งหมดนี้ได้ไหม?
ทำไมเราฟัง…อ่าน…เชื่อ แล้วทำตามอย่างหลับหูหลับตาโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย?
#เพราะสิ่งเหล่านั้นถูกตัดสินและให้คุณค่าว่ามันดี เข้าใจที่ผมพูดให้ลึกซึ้ง
เมื่อบางสิ่งบางอย่างถูกตัดสินให้คุณค่าว่ามันดี ไม่ว่าจะเป็นบุคคล คำสอน วิธีการ และสิ่งที่เนื่องมาด้วยจากแหล่งกำเนิดนั้นๆ ที่ถูกบอกว่าดีแล้ว ถูกตัดสินลงความเห็นไปว่าดีแล้ว เราจะเชื่อ
เมื่อความเชื่อเกิดขึ้น ความจริงก็ได้สูญสลายไป
กระบวนการแห่งชีวิตที่แท้จริงถูกความเชื่อปิดบังอย่างมิดชิด และชีวิตเราหลังจากนั้นดำเนินอยู่ภายใต้ความเชื่ออันนึง ภายใต้ไอเดียนั้นที่เราเชื่อ
#และเราเชื่อเพราะมันดี
เข้าใจที่ผมพูดมั้ย? เข้าใจที่ผมพูดให้ได้
การปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีบทสรุปใดๆทั้งนั้น มันคือการเผชิญต่อทุกขณะของชีวิตอย่างสดใหม่และเป็นปัจจุบันที่สุด ไม่มีผลสรุปใดๆก่อนหน้านั้น
ไม่มีว่า อืม...จำได้แล้วว่าต้องทำแบบนี้ ไม่มีแบบนั้น
จำได้ว่ามีคนเคยบอกว่า ต้องเห็นอย่างนี้ เห็นมันเป็นอย่างนี้ เห็นมันในมุมนี้ เห็นความจริงของมันให้ได้ ไม่มีแบบนั้น
เห็นมั้ยว่าทุกอย่างมันดูดีหมด…ดูดีมาก
พอมันดี...เราเลยเชื่อ และชีวิตที่แท้จริงของเราก็เลยดับหายไป ชีวิตเราจึงเป็นแค่ชีวิตที่อยู่ภายใต้ความเชื่อ ภายใต้สิ่งที่เราเชื่อว่าดี
#จริงมันกลายเป็นดี
#แทนที่จริง มันจะต้องเป็นจริง
ผมถามคำถามเราทุกคนบ่อยว่า ชีวิตเรานั้นจริงหรือยัง? มันยากเหลือเกินที่ชีวิตของคนคนนึงจะจริงขึ้นมา
การปฏิบัติธรรมคืออะไร?
คือการเห็นโครงสร้างทั้งหมดของแต่ละขณะที่บางสิ่งบางอย่างกำลังเกิดขึ้น และปฏิกิริยาของเราต่อบางสิ่งบางอย่างนั้นคืออะไร? มันมาจากไหน? เกิดขึ้นได้ยังไง? เห็นที่มาของมันทั้งหมด ไม่ใช่ไปทำอะไรต่อธรรมะ
แล้วเราจะเข้าใจว่าทำไมจึงมีคำสอนว่า ธรรมะนั้นพ้นไปจากดี พ้นไปจากชั่ว พ้นไปจากถูก พ้นไปจากผิด พ้นไปจากของคู่ทั้งหลาย
การปฏิบัติธรรม มันไม่ใช่การปฏิบัติหรือการกระทำบางอย่างต่อธรรมะ
#แต่มันคือการสูญสลายตัวตนที่จะกระทำอะไรบางอย่างต่อธรรมะ
สูญสลายสิ่งเหล่านั้น แล้วชีวิตทั้งหมดจะเป็นธรรมะ และนี่คือการปฏิบัติธรรม
#Camouflage
26-03-2565

Thursday Oct 13, 2022
291.ผู้เดินตาม...บทสรุปทางความคิด
Thursday Oct 13, 2022
Thursday Oct 13, 2022
บรรยายเมื่อ 12-03-2565
291.ผู้เดินตาม...บทสรุปทางความคิด
การที่มีใครซักคนนึงกำลังเดินตามบทสรุปซักอย่างนึง แล้วจะไปให้ถึงที่นั่น...นั่นคือกาลเวลา...นั่นคือระยะทาง
กาลเวลาและระยะทางนั้นเกิดขึ้นมาได้จาก “ความคิด” เท่านั้น เหมือนที่ผมเคยบอกว่า เราปฏิบัติธรรมภายใต้ความคิด ภายใต้อดีต
กาลเวลาที่ผมพูดถึง ไม่ใช่เช้าสายบ่ายเย็น เวลาพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก มืดหรือสว่าง #แต่ความคิดนั้นสร้างกาลเวลาขึ้นในจิตใจ
เวลาเรามีความสุข เวลานั้นสั้นเหลือเกิน แต่เวลาเรามีความทุกข์แค่ 5 นาที มันเหมือนเป็นหนึ่งวัน นี่คือกาลเวลาในจิตใจ และกาลเวลาในจิตใจเกิดขึ้นได้จากความคิด
เมื่อเรามีความคิดจะเดินตามไอเดีย บทสรุปทางความคิด ทฤษฎี หรือเป้าหมายซักอย่างนึง นั่นคือกาลเวลาได้เกิดขึ้นในจิตใจเราแล้ว
และเมื่อเราเริ่มปฏิบัติธรรมภายใต้กาลเวลาในจิตใจนั้น ไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ก็ตาม นั้นไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ไม่ว่าเราจะไปถึงเป้าหมายนั้นสมบูรณ์เท่าไหร่ก็ตาม ทั้งหมดนั้นยังไม่ใช่การปฏิบัติธรรม มันเป็นแค่ของเสมือนจริงเฉยๆ
กว่าคำสอนที่บอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้นคือ “การพ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง” ครูบาอาจารย์ท่านใช้ทั้งชีวิตที่จะเข้าใจสิ่งนี้ ที่จะเข้าใจว่าความทุกข์นั้นเกิดขึ้นมาได้ยังไง ความบีบคั้นเกิดขึ้นมาได้ยังไง มันประกอบขึ้นจากอะไร และค้นพบมัน
การค้นพบเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหมดนั้น ไม่ใช่การแก้ไขมัน ไม่ใช่การพยายามจะเปลี่ยนแปลง
เมื่อการค้นพบชีวิตนี้ว่ามันทุกข์ได้ยังไง ค้นพบโครงสร้างทั้งหมดของชีวิตนี้ว่ามันเป็นยังไง มันก่อทุกข์ได้ยังไง แล้วการพลิกชีวิตถึงจะเกิดขึ้น มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง
#มันคือการพลิกชีวิต
#มันคือการมีมุมมองต่อการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมด
คำสอนที่ครูบาอาจารย์ท่านสรุปง่ายๆ ว่าอยู่กับปัจจุบัน กว่าคำสอนนี้จะถูกกลั่นออกมา มันต้องใช้การเข้าใจอย่างหนักหน่วง เมื่อท่านเข้าใจแล้ว #ชีวิตนั้นมันพลิกเป็นการดำเนินชีวิตที่ใหม่ทั้งหมด…คือการอยู่กับปัจจุบัน
แต่ไม่ใช่เราอยู่กับปัจจุบัน มันเป็นแค่ชีวิตที่แท้จริงนั้นมันเป็นปัจจุบัน เป็นชีวิตที่ไม่ได้เดินตามบทสรุปทางความคิด
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านแค่เพียงพลิกของคว่ำให้หงายขึ้น นี่คือธรรมะ นี่คือการปฏิบัติธรรม มันไม่ใช่การค่อยๆสะสม ค่อยๆเปลี่ยนผ่าน การสะสมและค่อยๆเปลี่ยนผ่าน นั่นคือไอเดียของอัตตาตัวตน
แต่เมื่อเราเข้าใจโครงสร้างส่วนใหญ่ของชีวิต ชีวิตจะพลิก และชีวิตที่เป็นปัจจุบันจะเกิดขึ้น และชีวิตที่เห็นตามความเป็นจริงถึงจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เห็นตามความคิด ตามบทสรุป ตามทฤษฎี ที่อ้างอิงมาจากความจริง
ชีวิตเป็นการเห็นตามความเป็นจริง โดยที่ไม่มีเราที่จะเป็นผู้เห็น หรือคอยเห็นตามความเป็นจริง เพราะถ้ามีเรา หรือมีผู้เห็นตามความเป็นจริง เราหรือผู้เห็นนั้นเองคือความคิด คือเจตนา และความคิดนั้นแบ่งแยกความจริงออกจากเราซึ่งเป็นผู้เห็น หรือผู้ที่คอยเห็น
และเมื่อความคิดเกิดขึ้น ระยะทางและกาลเวลาก็จะเกิดขึ้น
นี่คือสาเหตุที่ผมสอนเราทุกคนว่า #เรียนแล้วต้องลืมให้หมด "การปฏิบัติธรรมจะเริ่มขึ้นเมื่อเราลืมทั้งหมดเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม และใช้ชีวิตจริงๆ"
เรียนรู้เข้าใจชีวิตนี้ด้วยตัวของเราเอง เมื่อเราค้นพบว่าชีวิตนั้นเป็นการเรียนรู้ เราจะค้นพบว่ามันเป็นชีวิตที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เราจะเข้าใจความไม่ต้องทำอะไรเลยนั้นแปลว่าอะไร
แล้วเราจะยิ่งเข้าใจว่า ความที่เราพยายามจะทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะถึงเป้าหมายบางอย่าง นั่นคือชีวิตเก่า นั่นคือการสร้างกาลเวลาในจิตใจ นั่นคือการสร้างเป้าหมาย นั่นคือการสร้างความขัดแย้งให้กับชีวิตของตัวเอง
ขัดแย้งยังไง? คือตอนนี้ไม่ดี เราพยายามทำซักอย่างนึงเพื่อจะให้มันดีกว่านี้ และนี่คือความขัดแย้ง
#และขัดแย้งนั้นเองคือความเป็นทุกข์ตลอดเวลาในจิตใจ นี่คือเหตุแห่งทุกข์ เราเข้าใจเหตุแห่งทุกข์แบบนี้มั้ย? เราไม่เข้าใจ เราถึงได้ปฏิบัติธรรมภายใต้ความคิด กาลเวลา ระยะทาง และเป้าหมายตลอดเวลา
และเรานั่นเองที่เป็นคนสร้างทุกข์ให้กับตัวเองตลอดเวลา เพราะเราไม่รู้จักว่ามันคือเหตุแห่งทุกข์
นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านอยากจะสอนเราทุกคนในเรื่องอริยสัจ 4 ว่าเราต้องรู้จักว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์ แต่เราไม่รู้…เรามัวปฏิบัติธรรมอยู่ เราเอาแต่ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่รู้เรื่องของตัวเองเลย
เราจะเป็นแต่ผู้เดินตาม...เราจะเป็นผู้เดินตามมรรค...ผู้เดินตามคำสอนต่างๆ
#มันไม่มีใครซักคนนึงจะเดินตามอะไรทั้งนั้น มันมีแค่ชีวิตนี้ ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เป็นปัจจุบันแบบนี้ เป็นชีวิตที่เป็นการเห็นแบบนี้
ทั้งหมดที่ผมพูดถึง ไม่มีการแยกกัน มันเป็นทั้งการเห็น...เป็นทั้งปัจจุบัน...เป็นความรู้เท่าทันต่อชีวิตนี้ ไม่มีใครเดินตามอะไรทั้งนั้น ความเท่าทันนั้นเกิดขึ้นได้ในปัจจุบันเท่านั้น
ชีวิตจะเป็นปัจจุบันได้ยังไง? มันต้องเป็นชีวิตที่ไม่เดินตามรูปแบบของความคิดในทุกๆอย่าง ไม่ใช่เราคนนึงพยายามฝึกสติ พยายามมีสมาธิเพื่อจะรู้เท่านั้น นั่นยังไม่ใช่ปัจจุบัน
#ชีวิตนี้เป็นปัจจุบันอยู่แล้ว นี่คือชีวิตใหม่ หรือจะเรียกว่าเป็นชีวิตดั้งเดิมที่เราหลงลืมมันไป เพราะเราใช้ชีวิตตามความคิดตลอดเวลา ตามความคิดตัวเอง ตามความคิดของคนอื่น นั่นหมายถึงหนังสือ คำสอน ทุกอย่างที่เป็นบทสรุปทางความคิดที่ออกมาในรูปของธรรมะ
เราใช้ชีวิตด้วยการเดินตามความคิด ไม่ว่าจะเป็นของตัวเองหรือของคนอื่นก็ตาม ชีวิตจึงไม่สามารถจะเป็นปัจจุบันได้ และการรู้เท่าทันมันจึงเกิดขึ้นไม่ได้
เมื่อชีวิตที่เป็นปัจจุบัน และชีวิตที่รู้เท่าทัน เกิดขึ้นไม่ได้ เราจึงไปฝึกปฏิบัติธรรม ฝึกสติ ฝึกสมาธิ ฝึกทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อจะเป็นปัจจุบัน เพราะเราไม่เข้าใจว่าชีวิตที่เป็นปัจจุบันนั้น เป็นชีวิตที่ต้องพ้นออกจากทุกรูปแบบของความคิด พ้นจากการเดินตามรูปแบบของบทสรุปทางความคิดทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไอเดียของเราสักคนจะเดินตามอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำสอน อาจารย์ หนังสือ บทสรุป
แต่การปฏิบัติธรรมคือชีวิต คือความคงเหลือแค่ชีวิตนี้ #คือความพ้นจากทุกไอเดียต่อชีวิตนี้ แล้วความจริงที่เป็นจริงของมันถึงจะปรากฏ โดยที่ไม่มีความคิดใดๆ เข้าไปแทรก เข้าไปขัดขวางมัน เข้าไปบิดเบือนความเป็นจริงของมัน
#Camouflage

Tuesday Sep 27, 2022
290.เราเป็นนักปฏิบัติธรรมจริงมั้ย
Tuesday Sep 27, 2022
Tuesday Sep 27, 2022
บรรยายเมื่อ 19-02-2565
ชีวิตการปฏิบัติธรรมของเราแต่ละคน...เป็นจริงมั้ย?
หรือเป็นแค่...ชีวิตที่มีความทะยานอยาก ที่จะได้รับผัสสะที่น่าพอใจในเส้นทางของการปฏิบัติธรรม?
คำถามที่ผมถาม เป็นสิ่งที่พวกเราต้องพิจารณาให้ชัดเจน
เมื่อเราเลือกจะเป็นบางอย่าง และไม่เอาอีกอย่างหนึ่ง นั่นไม่จริง นั่นเป็นแค่ชีวิตที่ต้องการได้รับผัสสะที่น่าพอใจแค่นั้น
เมื่อเราเชื่อว่าสิ่งที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่น่าพอใจ เราจะเอา และถ้าผัสสะที่ไม่น่าพอใจ เช่นกิเลสเกิดขึ้น เราบอกว่าการปฏิบัติของเราย่ำแย่ ไม่ดี
ผมอยากให้พวกเราเห็นโครงสร้างทั้งหมดที่ผมพยายามจะถ่ายทอดและสื่อสาร ว่าชีวิตเรานั้นมันไม่จริงยังไง ชีวิตการปฏิบัติธรรมของเรานั้นมันจอมปลอมยังไง
เราต้องค้นเข้าไปในใจจริงๆ ค้นไปลึกที่สุดในใจจริงๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่...ในสิ่งที่เราทำ
#ไม่อย่างนั้นชีวิตเราจะอยู่ภายใต้มายาภาพที่ขาวสะอาดสดใส และปิดบังเราอยู่อย่างแนบเนียน
ชีวิตการปฏิบัติธรรมของเราเป็นจริงไหม?
หรือเป็นแค่ชีวิตที่ต้องการความปลอดภัย?
ใช่ไหม...ที่เราพยายามแสวงหาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ วิธีการปฏิบัติต่างๆ ความรู้ต่างๆ การประเมินผลต่างๆ ทั้งหมดแท้จริงแล้ว #เราแค่ต้องการความปลอดภัย
เราพยายามเป็นคนดีเพราะเรากลัวตกนรก เราสนใจในการทำบุญเพราะเราอยากขึ้นสวรรค์ และเราอยากเป็นพระโสดาบันเพราะเราไม่อยากตกอบาย
นี่คือทั้งหมดที่เราเป็นใช่ไหม?
คำถามผมคือ ชีวิตมันจริงตรงไหน?
แล้วชีวิตจริงๆ นั้นเป็นยังไง?
ชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงเป็นยังไง?
คือชีวิตที่เผชิญกับความจริงในขณะนี้ โดยที่ไม่รู้อะไรล่วงหน้าเลย นั่นคืออริยสัจ 4 คือ #ชีวิตแห่งอริยสัจ
เราต้องเผชิญกับขณะนี้โดยที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีความคิดที่จะป้องกัน หรือที่จะต้องเผชิญกับมันด้วยกิริยายังไงดี หรือมันควรจะเป็นยังไงดี
และนั่นคือความจริง ความจริงอยู่ที่นี่แล้ว อยู่ที่นี่เลย เราทุกคนมีความจริงอยู่ตลอดเวลา
แต่ความจริงมันถูกพาให้ไปไกลเหลือเกิน บรรยากาศทั้งหมดมันบอกเราแบบนั้นว่าเราจะต้องไปถึงความจริง
ความจริงไม่ต้องไปถึง มันอยู่ที่นี่เลย
เมื่อกิเลสเกิดขึ้น เรามีวิธีการทันทีว่าจะทำยังไงกับมัน…ใช่มั้ย?
บางคนจะทำกรรมฐาน เช่น อสุภกรรมฐาน บางคนมีวิธีอยู่แล้วว่า คอยรู้มัน ดูมัน ไม่เข้าไปเป็นกับมัน
เรามีวิธีอย่างสมบูรณ์แบบซักอย่างหนึ่งที่เราจะทำต่อความจริงในขณะนี้ เรามีวิธีล่วงหน้า...เข้าใจไหม?
แต่การเผชิญกับความจริงของชีวิต บางครั้งเราอาจจะเห็นมันโดยที่ไม่เข้าไปเป็น
เรารับรู้ทั้งหมดนั้นว่า เห็นแล้วไม่เป็น...มันเป็นยังไง มันเกิดขึ้นได้ยังไง
บางครั้งมันเกิดขึ้น เรารู้ แล้วเราก็เป็นไปกับมันด้วย...แล้วมันเป็นยังไง ทั้งหมดนั้นเป็นยังไง เกิดความดิ้นรนยังไงต่อ
เห็นกระบวนการของการต่อสู้ การหนี การคิดวิธี...เห็นทั้งหมดนั้น
เข้าใจกิเลสตัวนั้น เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น...เข้าใจให้มันแจ่มแจ้ง
มีความอยากตามกิเลสนั้น...ทำไม? ค้นลงไป มันต้องการอะไร? เราจะได้อะไร? แล้วมันเป็นยังไง?
ความอยากนั้นถูกสร้างความสืบเนื่องได้ยังไง? มันมีอะไรเกิดขึ้นต่อจาก...เมื่อความอยากเกิดขึ้น มันถึงสร้างความสืบเนื่องได้?
#เข้าใจทั้งหมดนี้
#ไม่ใช่หนีมัน ไม่ใช่ทำให้มันไม่เกิดขึ้น ไม่ใช่กลบเกลื่อนมัน
เข้าใจที่ผมพยายามจะบอกไหมว่า นักปฏิบัติธรรมพยายามฝึก…#ฝึกอาวุธสักอย่างหนึ่งขึ้นมาเพื่อที่จะต่อสู้กับกิเลส แม้ว่าจะเป็นการเห็นมันก็ตาม แม้จะเป็นการแค่รู้แค่เห็นก็ตาม
แต่หัวใจของเราคือการสู้กับมัน เราต้องเข้าใจทั้งหมดที่ผมพูดนี้
เพราะเพียงแค่หัวใจเราผิด ทุกอย่างจะผิดหมด
ชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่การฝึกอาวุธอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง เพื่อจะต่อกรกับกิเลส
แต่คือ #เข้าใจความเป็นไปทั้งหมดของมัน เข้าใจที่มาที่ไปของมัน เข้าใจกระบวนการของมัน
และการที่ไม่มีใครซักคนที่มีหัวใจจะต่อกรกับมัน นั่นคือ #หัวใจของสัมมาทิฏฐิ
และอย่างที่ผมบอก เมื่อสัมมาทิฏฐิได้เกิดขึ้นแล้ว สัมมาที่เหลือทุกอย่างจะเกิดขึ้นตามกันมาอย่างที่หลีกหนีไม่ได้
สิ่งที่เราอยากได้ที่สุดคือ สัมมาสติและสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะและสัมมาวิมุตติ จะเกิดขึ้น #มันจะเกิดขึ้นแปรผันไปตามความเข้าใจอันแจ่มแจ้งในอริยสัจ 4 นี้ มันจะแปรผันไปตามความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในชีวิตนี้
ไม่ใช่การพยายามทำสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้น ทำสิ่งที่ไม่ดีให้หายไปหรือไม่เกิดขึ้น เหล่านั้นไม่ใช่ความเข้าใจในชีวิตนี้
เรานึกออกมั้ย เราพยายามทำคุณสมบัติที่ดีที่เราเชื่อ...ให้มันเกิดขึ้นในจิตใจของเรา และทำลายหรือไม่อยากให้สิ่งที่เราเชื่อว่าไม่ดีนั้นเกิดขึ้น เราใช้ชีวิตอยู่กับเรื่องของความเชื่อใน 2 เรื่องนี้แค่นั้น
แล้วอริยสัจ 4 อยู่ที่ไหน?
ความเข้าใจในชีวิตนี้อยู่ที่ไหน?
เมื่อความเข้าใจในชีวิตนี้แจ่มแจ้งขึ้นเป็นลำดับ ชีวิตก็จะเป็นมรรคมากขึ้นตามลำดับ
มันคือเรื่องๆเดียวกันทั้งหมด ทั้งอริยสัจ 4, ทั้งมรรค 8, ทางสายกลาง มันคือเรื่องที่แยกจากกันไม่ได้ มันแค่เปลี่ยนมุมพูดเฉยๆ เปลี่ยนมุมขยายความเฉยๆ แต่มันมาจากที่นั่น #มันมาจากอริยสัจ4
อริยสัจ 4 คือความจริงอันประเสริฐ ที่ไม่ต้องแสวงหา...ไม่ต้องแสวงหาจากใคร มันอยู่ในตัวเราแล้วทุกคน มันคือชีวิตของเรา
ของประเสริฐที่สุดอยู่ที่ตัวเรา ไม่ต้องไปหาสิ่งประเสริฐที่อื่น เราวิ่งหาบูชาสิ่งประเสริฐที่อื่น ยกเว้นตัวเอง
#Camouflage
19-02-2565

Tuesday Sep 20, 2022
289.ชีวิตที่ไร้บัญญัติ
Tuesday Sep 20, 2022
Tuesday Sep 20, 2022
บรรยายเมื่อ 12-02-2565
289.ชีวิตที่ไร้บัญญัติ
คำว่า “ดี” ที่เราเชิดชูกัน ที่เราให้คุณค่ากับบางสิ่งบางอย่าง มันจริงไหม?
“ดี” มันใช่ “จริง” ไหม?
ศาสนาพุทธ ถูกครอบงำด้วยคำว่า “ดี” มากกว่า “จริง”
ศาสนาพุทธถูกโลกและสังคมกลืนไปด้วยความดีมากกว่าจริง จริงหายไป ดีมาเป็นใหญ่แทนในศาสนาพุทธ
บรรยากาศนี้ทำให้เหล่านักปฏิบัติธรรมจึงค้นไม่พบความจริง เราติดอยู่กับความเชื่อหลายอย่าง และ “ดี” คือหนึ่งในนั้น
ผมว่าเราทุกคนเมื่อเข้ามาปฏิบัติธรรมจะได้ยินคำสอนว่า เราต้องปฏิบัติธรรมเพื่อจะรู้ว่าความจริงคืออะไร เราต้องปฏิบัติธรรมเพื่อจะเห็นโลกนี้ตามความเป็นจริง
ฟังผมให้ดี…คำสอนกำลังบอกเราว่า “เราต้องมาปฏิบัติธรรม เพื่อจะเห็นความจริง”
เพื่อจะเห็นความจริง…นั้นแปลว่าอะไร?
ความจริงอยู่ในอนาคต ความจริงอยู่ข้างหน้า เราคนนึงจะต้องปฏิบัติซักอย่างนึงที่เรียกว่า “วิธีปฏิบัติ” เพื่อจะไปรู้ว่าอะไรคือความจริงที่อยู่ข้างหน้า ที่อยู่ในอนาคต อีกไกลแสนไกล
นี่คือคำสอนผ่านภาษาที่เราได้รับ และเราทุกคนคิดแบบนั้นว่า โอเค เราต้องปฏิบัติธรรมก่อน เราต้องพยายามมีสติ มีสมาธิ มีนู่น มีนี่ มีนั่น เพื่อที่วันนึงเราจะเห็นความจริงได้
แต่ความจริงคือ “ขณะนี้”…#ความจริงคือขณะนี้เลย
ขณะแห่งการรับรู้ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ และไม่มีระยะทางที่จะเข้าถึงมัน
เป็นชีวิตที่ไร้กาลเวลา เหนือกาลเวลา เป็นชีวิตที่เป็นอกาลิโก นี่คือความจริง นี่คือจริง มันไม่ได้อยู่ข้างหน้า มันไม่อาศัยการปฏิบัติเพื่อจะไปถึงมัน มันอยู่ที่นี่อยู่แล้ว
เราถูกหลอกด้วยภาษา ด้วยความหมายของมัน และเราเชื่อสนิทใจว่า เราต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะพบความจริงที่อยู่ข้างหน้านั้นให้ได้
นี่คือหายนะของวงการการปฏิบัติธรรม...ที่เราทุกคนเข้าใจแบบนั้น นี่คือโศกนาฏกรรมของนักปฏิบัติธรรม
ความหายนะที่เราไม่เห็นโครงสร้างของชีวิตของเรา ว่าติดอยู่กับความหมายของคำสอน ถ้อยคำ เรายึดติดอยู่กับมัน
ชีวิตทั้งชีวิตที่เป็นจริง จึงกลายเป็นชีวิตที่เป็นความเชื่อ เป็นความยึดมั่น กับความเชื่อสักอย่างนึง
เราไม่เคยมีชีวิตจริงๆ...ไม่เคยเลย
เราถูกความหมายของคำสอนที่เราอ่านที่เราฟังเป็นตัวนำทางชีวิต
ชีวิตเราคับแคบ เพราะเราถูกครอบงำด้วยความหมายของบางสิ่งบางอย่างที่เราเชื่อ
.
มันมีเราคนนึง แยกออกจากสิ่งที่ถูกรู้ต่างๆนั้น ว่ามันเกิดและดับ ว่ามันเป็นไตรลักษณ์ เราคนนี้ไม่เคยหายไปเลย
ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าเห็นตามความเป็นจริง คือทั้งหมดนี้ต้องเกิดและดับ เป็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่เหลือเราหรืออีกสิ่งหนึ่งที่เป็นคนคอยรู้ว่ามันเกิดและดับ
นี่คือผลลัพธ์จากชีวิตที่เราทำตามความหมายของคำสอนซักอันนึง
เราใช้ความคิด แปลความหมายของคำสอนนั้น แล้ว “ทำ”
ทำไมเราทำแบบนั้น? เพราะเราเชื่อว่าความหมายของคำสอนนั้นถูก
ผมถามอีกว่า แล้วเราจะเชื่อได้ยังไง? เราอาจจะมีเหตุผลว่าเพราะๆๆๆๆ
ถามตัวเอง…มันคือความเชื่อที่ซ้อนไปเรื่อยๆใช่ไหม?
เราไม่เคยเหลือแค่ชีวิตจริงๆ #ชีวิตล้วนๆจริงๆที่ไม่มีเรา ไม่มีไอเดียของความเป็นเรา ไม่อยู่ภายใต้ความหมายของวิธีปฏิบัติใดๆ เหลือแค่กายและจิตนี้ เหลือแค่นี้จริงๆ
แล้วชีวิตนั้นจะเป็นการรู้ ที่ไม่ใช่เราคอยรู้ หรือเราต้องทำอะไรให้มันรู้
แต่ชีวิตนั้นเป็นการรู้ และเป็นการเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เป็นความเปลี่ยนแปลง ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ เป็นไปตามเหตุและปัจจัย ไม่มีใครซักคนอยู่ที่นั่น นี่คือการเห็นตามความเป็นจริง นี่คือการเห็นความเกิดดับ
#ชีวิตเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว...แค่เราหายไป
ความเกิดและดับ อนิจจัง ทุกขังและอนัตตา เป็นการขยายความความเป็นเช่นนั้นเอง ขยายออกมาเพื่อให้เราเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นเองนี่เป็นยังไง
ชีวิตที่ไร้บัญญัตินั้นมันไม่มีความหมาย มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นอย่างนั้นเอง แม้กระทั่งคำว่าเป็นเช่นนั้นเองหรือเป็นอย่างนั้นเอง ก็คือความพยายามอธิบายชีวิตที่แท้จริงนั้นให้เป็นความหมายเฉยๆ
#แค่รู้จักชีวิตที่ไร้บัญญัติ เราจะรู้จักทุกอย่าง
แต่ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่ความหมายว่าชีวิตเป็นเช่นนั้นเอง เราอยู่ที่ความหมายของการขยายความคำว่าเป็นเช่นนั้นเองว่า มันเกิดแล้วก็ดับ มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ทนสภาพเดิมไม่ได้ เป็นไปตามเหตุและปัจจัย
เราอยู่ที่ความหมายของสิ่งที่ถูกขยายออกมาๆ เรื่อยๆ เราอยู่ที่นั่น เราไปทำสิ่งๆนั้น
เราพยายามเห็นสิ่งสิ่งนั้นที่เป็นคำขยายจากชีวิตที่ไร้บัญญัติเฉยๆ
เข้าใจที่ผมพูดไหม? เราอยู่คนละที่กันอย่างสิ้นเชิง เราอยู่กันคนละโลก
ผมเคยบอกว่าเราพยายามทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ แล้วไม่ทำสิ่งที่ต้องทำ…เป็นแบบนี้
ถ้าเรายังไม่เข้าใจชีวิตที่แท้จริงนั้นเป็นชีวิตที่ไร้บัญญัติ เราจะอยู่ที่นั่น เราจะใช้ชีวิตที่อยู่ในความหมายบางอย่างที่เราเชื่อ แล้วเราจะพยายามจะไปถึงความหมายนั้นที่เราเชื่อ และนั่นคือโลก เราอยู่ในโลกเหมือนเดิม ต่อให้เรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่ ก็คืออยู่ในโลก...โลกของนักปฏิบัติธรรม เราแค่เปลี่ยนโลกเฉยๆ เรายังไม่อยู่เหนือโลก
เพราะฉะนั้น #ชีวิตที่ไร้บัญญัติคือขณะนี้ นี่คือจริง
แล้วขณะนี้จบไป ขณะใหม่เกิดขึ้น ขณะใหม่จบไป ขณะใหม่เกิดขึ้น
ชีวิตที่ไร้บัญญัตินั้นเป็นความเกิดดับอยู่แล้ว เป็นความเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ชีวิตทั้งชีวิตเป็นสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว
จริงมีแค่นี้ นอกเหนือจากนี้คือไม่จริง
.
เมื่อชีวิตนั้นเป็นจริงแล้ว คำอธิบายทั้งหมดเกี่ยวกับคำสอนในการปฏิบัติธรรม มันอยู่ที่นี่
มันไม่ใช่เราสักคนนึง...แสวงหาความจริง วิ่งไปตามความหมายเหล่านั้น ทั้งหมดนั้นไม่จริง
เราเคยได้ยินคำสอนว่า ธรรมะที่แท้จริงคือ การปิดปากเงียบ หุบปากเงียบ…คือแบบนี้
เพราะถ้ามันออกไปจากปากแล้ว ทั้งหมดมันไม่จริงแล้ว มันเป็นความหมายในความคิดของเรา และเราจะไปที่นั่น ไปตามความหมายนั้น และนี่คือสิ่งที่นักปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ทำกัน...ทำแบบนี้
แม้ว่าเราจะสามารถไปตามความหมายเหล่านั้น เราก็จะเป็นเหมือนพระอนุรุทธะที่ผมเคยเล่าให้ฟังหลายครั้ง ที่ท่านสามารถเห็นโลกธาตุเกิดดับได้อย่างมากมายในชั่วลัดนิ้วมือเดียว แต่ท่านไม่สามารถจะบรรลุธรรมได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องแบบนั้น
นี่คือผลลัพธ์จากชีวิตการปฏิบัติธรรม ที่อยู่ภายใต้ความหมายของบัญญัติ ภาษา คำสอน ชีวิตที่ยึดมั่นอยู่กับความหมายเหล่านั้น และนั่นไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง
เรามีหน้าที่เดียว #ที่จะต้องรู้จักชีวิตที่แท้จริงว่าคืออะไร
แล้วชีวิตที่เหลือทั้งหมด จะเป็นการปฏิบัติธรรม
#Camouflage
12-02-2565

Thursday Sep 08, 2022
288.สิ่งที่เราไม่เคยทำ...ในการปฏิบัติธรรม
Thursday Sep 08, 2022
Thursday Sep 08, 2022
บรรยายเมื่อ 05-02-2565
288.สิ่งที่เราไม่เคยทำ...ในการปฏิบัติธรรม
การภาวนาคือ การรู้จักว่าอะไรเป็นอะไร ชีวิตนี้คืออะไร ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับชีวิตนี้คืออะไร กับดักและโครงสร้างอันผิดเพี้ยนทั้งหมดคืออะไร เกิดขึ้นได้ยังไง
แล้วความถูกต้องถึงจะเกิดขึ้น
ความถูกต้องไม่เกิดขึ้นจากการเชื่อบุคคลคนนึงที่เราเชื่อถือ แล้วทำทุกอย่างอย่างสุดหัวใจตามความเชื่อนั้น...ให้ถูกเป๊ะตามที่คนคนนั้นบอก นั่นมันเป็นแค่จินตนาการ เป็นแค่ภาพ เป็นแค่ความเชื่อ
การภาวนา หรือการปฏิบัติธรรม หรือกิริยาต่างๆ ที่เราใช้ในการปฏิบัติธรรม ที่เราเรียกว่า “รู้” หรือ “เห็น” ต้องเกิดขึ้นมาจากชีวิตของเราเอง ไม่ใช่เกิดขึ้นจากการที่มีหนังสือบอกเรา หรือมีคนบอกเรา
คำว่า “รู้” คำเดียว เราสามารถจินตนาการได้ไม่เหมือนกัน มันจึงเกิดปัญหาได้ว่า ทำไมความรู้สึกตัวที่มีอยู่แล้วในมนุษย์ทุกคน เราถึงทำให้มันกลายเป็นความเพ่งได้
เพราะฉะนั้น #การภาวนาจึงเริ่มต้นที่_ความเข้าใจชีวิตเก่าทั้งหมดว่ามันเป็นทุกข์ได้ยังไง
ไม่ใช่เริ่มต้นที่การเดินเข้ามาวัด เดินเข้ามาที่สำนักปฏิบัติธรรม แล้วมาถามครูบาอาจารย์ว่า ต้องทำยังไง
แต่ต้องเริ่มต้นที่ตัวเอง ที่จะมีปัญญาและมีวุฒิภาวะ ที่จะเติบโตขึ้นมา และเข้าใจชีวิตทั้งหมดที่เคยผ่านมา ว่ามันทุกข์ได้ยังไง แล้วเราจะไม่ใช้ชีวิตแบบนั้น หลังจากที่เราเข้าใจทั้งหมดของชีวิตนั้นแล้ว
เราจะไม่ปฏิบัติธรรมด้วยชีวิตและหัวใจแบบเก่า และถ้าเรารู้ว่ามันเกิดขึ้น เราจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ ไม่ต้องให้ใครบอกเราเลย นี่คือวุฒิภาวะ นี่คือความเติบโต ที่เราทุกคนจะต้องลงทุนด้วยตัวเอง
เมื่อเราเข้าใจว่าชีวิตเก่านั้นเป็นทุกข์ได้ยังไง เราจะค่อยๆ ที่จะรู้จักการใช้ชีวิตจริงๆ เราจะไม่ใช้ชีวิตที่เป็นเหตุแห่งทุกข์
เราจะค่อยๆ ค้นพบว่า ชีวิตที่แท้จริงนั้นคือ ชีวิตที่เงียบเชียบที่สุด
คำว่าเงียบเชียบ...ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย แต่เงียบเชียบต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
เราจะเงียบเชียบ เพราะผมบอกว่ามันเป็นชีวิตที่แท้จริง และเชื่อผมว่ามันถูกหรือว่าดีไหม?
หรือความเงียบเชียบนั้นเกิดขึ้นจากความเข้าใจชีวิตทั้งหมด ว่ามันเป็นทุกข์ได้ยังไง แล้วผลลัพธ์สุดท้ายคือเราค้นพบว่า ชีวิตมันเงียบเชียบด้วยตัวมันเอง
แม้กระทั่งชีวิตที่เงียบเชียบก็ไม่อาจเอาไปเป็นวิธีปฏิบัติได้ แต่มันต้องเกิดขึ้นจากชีวิตของเราเอง เกิดขึ้นจากความเข้าใจทั้งหมดของชีวิต ความทุกข์ทั้งมวลของชีวิตของเราเอง
.
ชีวิตเป็นแค่ความดำรงอยู่ ดำรงอยู่กับทุกขณะของชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม
ชีวิตนั้น ไม่ใช่การที่มีใครสักคนนึงคิดว่าจะปฏิบัติธรรมยังไงดี หรือคิดว่าจะปฏิบัติต่อสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ยังไงดี แต่ดำรงอยู่กับมันอย่างเต็มเปี่ยม โดยที่ไม่มีใครคนนั้นคิดจะทำอะไรกับมัน...นี่คือสิ่งเดียวที่นักปฏิบัติธรรมไม่เคยทำ
เราทุกคนพร้อมจะทำอะไรกับมันตามความรู้ ตามวิธีการที่เราได้รับมาจากอาจารย์ เช่น เราจะเห็นมัน เราจะดูมัน เราจะรู้มัน เราจะไม่เข้าไปเป็นกับมัน นั่นคือสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราอยากจะให้เป็นแบบนั้น เราต้องการเป็นแบบนั้น เราต้องการได้รับรสชาติของการเป็นแบบนั้น นั่นคือกามตัณหา!
สิ่งที่เราไม่เคยทำเลยคือ #ดำรงอยู่กับมันอย่างเต็มเปี่ยม ไม่มีใครคนนั้นคิดจะทำอะไรกับมันทั้งนั้น
และเราก็อาจจะคิดว่า แล้วมันจะผ่านไปใช่ไหมครับ?
คำสอนเหล่านั้นจะทำให้เราอยู่ในอนาคต ไม่ได้ดำรงอยู่กับมันอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้เรารอว่าจะเกิดอะไรขึ้น และถ้ามันไม่ผ่านไป เราจะกลุ้มใจว่า ทำอะไรผิดรึเปล่า
ดำรงอยู่กับจิตใจ...ความรู้สึกต่างๆ เหมือนกับเราที่ดำรงอยู่กับร่างกายนี้...ที่มันแก่ ที่มันเจ็บ ที่มันจะตาย
เรามุ่งจะให้จิตใจนี้มันดี เพื่อที่เราจะได้เกิดดีๆ ตายดีๆ ไปดีๆ เราไม่เคยสนใจที่จะไม่ไปไหน...ไม่ไปไหนแล้ว
เราสนใจจะไปกับไม่ไป ไปที่ดีๆ ไม่ไปที่ไม่ดี มีใครสนใจว่าไม่ไปไหนไหม?
ดำรงอยู่กับมันอย่างเต็มเปี่ยม...ไม่ไปไหน...ไม่มีเรา
“เมื่อไม่มีเรา ก็จะไม่มีใครต้องไปไหน”
จะเหลือแค่ความเป็นอยู่ของชีวิตนี้...#มันเป็นอย่างนี้ แค่นั้น
#Camouflage
05-02-2565

Saturday Aug 27, 2022
287.ความเปลี่ยนแปลง...ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
Saturday Aug 27, 2022
Saturday Aug 27, 2022
บรรยายเมื่อ 29-01-2565
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากรากเหง้าของหัวใจนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่มีเราคนนึง มีไอเดีย แล้วพยายามจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
การเปลี่ยนแปลงในแบบที่เราทำมานั้นคือ ความที่มนุษย์คนนึงไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย เราทำเหมือนเดิม จริงๆเราไม่เคยเปลี่ยนแปลง เราคือมนุษย์คนเดิม ไอเดียเดิมๆ
แต่ความไม่มีเรา
...การมีชีวิตที่ความคิดเข้าไปไม่ถึง
...การมีชีวิตอย่างเงียบเชียบ
...การที่ไม่มีใครสักคนพยายามจะเปลี่ยนแปลงอะไร
...การที่ใครคนนั้นหายไป
...ไม่มีใครสักคนใส่ความพยายามต่อชีวิตนี้ เพื่อให้มันดีกว่านี้
และเมื่อใครคนนั้นหายไป ความเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคนจึงจะเกิดขึ้นได้
ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงทั้งหมดภายใต้ความเป็นเรา คือความล้มเหลว คือหายนะ เพราะมันคือความที่มนุษย์คนหนึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยต่างหาก เราต้องเข้าใจเรื่องนี้
.
เราติดอยู่ในกับดักของการคิดว่า จะทำยังไงดีต่อความทุกข์หรือความสุขที่เกิดขึ้นในชีวิต เรามีโครงสร้างของการที่เราคนนึงพยายามที่จะปกป้องตัวเอง
เราหมกมุ่นอยู่กับการแก้ปัญหาความทุกข์ความสุข เราหมกมุ่นตั้งแต่เราอยู่ในโลก เช่น เราหนีความทุกข์ด้วยการหาความสุข พอเรามาปฏิบัติธรรม เราหนีความทุกข์ด้วยการทำสมาธิ ด้วยการวิ่งหาความสงบ ด้วยการเจริญวิปัสสนา เราจะเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง
แต่ผมถามว่าหัวใจคืออะไร?
หัวใจที่ลึกที่สุดคือหัวใจเดิมใช่ไหม?
คือเราหมกมุ่นกับการแก้ปัญหาความทุกข์ เราแค่เปลี่ยนวิธีเฉยๆ เราใช้วิธีที่เลิศเลอที่สุดคือ วิปัสสนากรรมฐาน ผมไม่ได้บอกว่ามันผิด
แต่ผมถามว่าหัวใจของเราคืออะไร?
คือเราคนนี้จะหนีทุกข์ใช่ไหม?
ทั้งหมดคือมีเราคนหนึ่งพยายามหาวิธีการที่จะหนีความทุกข์ เรายังคงหนีความทุกข์เหมือนเดิม ผมถึงบอกว่าเราไม่เคยเปลี่ยนแปลง เราคือมนุษย์คนเดิม และเราไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงได้
แต่การมีชีวิตที่เงียบเชียบ ไม่ได้เกิดจากการที่ฟังผม เมื่อผมอธิบายได้อย่างดี และเราคิดตามเหตุผลแล้วว่าอย่างนี้ถูก แล้วเราจะทำแบบนี้ นั่นคือวิธีของการหนีทุกข์เหมือนเดิม
แต่ความเข้าใจในการมีชีวิตอย่างเงียบเชียบ #จะต้องเป็นสิ่งที่เราทุกคนจะต้องค้นพบมันด้วยตัวเอง ว่าทำไมถึงต้องเป็นอย่างนั้น
ตามประสบการณ์ผม เราจะค้นพบว่าชีวิตมันเป็นความเงียบเชียบอย่างแท้จริง มันมักจะเกิดขึ้นจากความทุกข์ ความผิดหวัง ความไม่สมหวัง ความที่ไม่ได้อะไรอย่างที่เราต้องการ ความที่เป้าหมายทั้งหมดที่เราหวังไว้ทลายลงไป
#แล้วชีวิตที่เงียบเชียบจะเกิดขึ้นมา โดยที่ไม่มีใครมีไอเดียว่าเราจะมีชีวิตที่เงียบเชียบ มันเกิดขึ้นมา แล้วเราจะค้นพบมันว่านี่คือ ชีวิตที่แท้จริง
และใครสักคนหนึ่งจะใช้ชีวิตอย่างเงียบเชียบ ไม่ใช่เพราะว่าเราเชื่อคนอีกคนนึงบอกว่ามันถูก แต่เรารู้จักมันด้วยตัวเอง ด้วยหัวใจของเราเอง ด้วยชีวิตของเราเอง ว่าต้องเป็นแบบนี้
.
#อย่าหลบหนีจากชีวิต แล้วไปหาอะไรทำ
ขณะที่เราฟุ้งซ่าน เรารีบไปนั่งสมาธิ…ทำไม? จริงๆ เราหนีความฟุ้งซ่านใช่ไหม? เราอยากได้รับความสงบแทน เพราะมันดีกว่า
เราไม่หนีได้ไหม?
เราไม่ตามได้ไหม?
เราไม่ถอยได้ไหม?
แล้วเราก็ไม่สู้กับมันได้ไหม?
เราอยู่กับมันเฉยๆได้ไหม?
นี่คือชีวิตที่เงียบเชียบ ผมไม่ได้บอกว่ามันต้องดี แต่มันเป็นชีวิตที่เงียบเชียบ
ชีวิตเราทุกคนหลบหนีมาตลอดชีวิต เราไม่เคยเลิกจะหลบหนี
พอเราทุกข์ เราจะไปหาความสุข เราอยู่กับทุกข์ไม่ได้
พอเราเบื่อ เราจะไปหาอะไรทำ เราอยู่กับความเบื่อไม่ได้ เราต้องการได้รับบางสิ่งบางอย่างตลอดเวลา
เมื่อก่อนผมสอนในคลิปแรกๆว่า เราแค่ Being อยู่ในธรรมชาตินี้ คือเป็นอยู่ในธรรมชาตินี้เฉยๆ ไม่ใช่การใช้ชีวิตที่คิดว่าวันนี้เราจะได้รับอะไรดีๆบ้าง
เพราะฉะนั้น ชีวิตที่เป็นการภาวนานั้น ไม่ใช่ชีวิตที่หาอะไรทำ แต่เป็นชีวิตที่ไม่มีอะไรทำ
อย่าลืมที่ผมบอกว่า เราทุกคนเลือกที่จะมาปฏิบัติธรรม…หรือภาวนาทั้งชีวิตของเรา…เราเลือกสิ่งนี้ เราเลือกเพราะเราต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคนกับชีวิตนี้ เราต้องรู้ว่าอะไรคือสาเหตุ ต้นเหตุ หรือเหตุของมัน
และใช้ชีวิตนั้นด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง ที่เกิดขึ้นมาจากหัวใจของตัวเอง
อย่าใช้ชีวิตเดิมที่พยายามจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นชีวิตที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย