Episodes

Saturday Aug 27, 2022
287.ความเปลี่ยนแปลง...ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
Saturday Aug 27, 2022
Saturday Aug 27, 2022
บรรยายเมื่อ 29-01-2565
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากรากเหง้าของหัวใจนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่มีเราคนนึง มีไอเดีย แล้วพยายามจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
การเปลี่ยนแปลงในแบบที่เราทำมานั้นคือ ความที่มนุษย์คนนึงไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย เราทำเหมือนเดิม จริงๆเราไม่เคยเปลี่ยนแปลง เราคือมนุษย์คนเดิม ไอเดียเดิมๆ
แต่ความไม่มีเรา
...การมีชีวิตที่ความคิดเข้าไปไม่ถึง
...การมีชีวิตอย่างเงียบเชียบ
...การที่ไม่มีใครสักคนพยายามจะเปลี่ยนแปลงอะไร
...การที่ใครคนนั้นหายไป
...ไม่มีใครสักคนใส่ความพยายามต่อชีวิตนี้ เพื่อให้มันดีกว่านี้
และเมื่อใครคนนั้นหายไป ความเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคนจึงจะเกิดขึ้นได้
ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงทั้งหมดภายใต้ความเป็นเรา คือความล้มเหลว คือหายนะ เพราะมันคือความที่มนุษย์คนหนึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยต่างหาก เราต้องเข้าใจเรื่องนี้
.
เราติดอยู่ในกับดักของการคิดว่า จะทำยังไงดีต่อความทุกข์หรือความสุขที่เกิดขึ้นในชีวิต เรามีโครงสร้างของการที่เราคนนึงพยายามที่จะปกป้องตัวเอง
เราหมกมุ่นอยู่กับการแก้ปัญหาความทุกข์ความสุข เราหมกมุ่นตั้งแต่เราอยู่ในโลก เช่น เราหนีความทุกข์ด้วยการหาความสุข พอเรามาปฏิบัติธรรม เราหนีความทุกข์ด้วยการทำสมาธิ ด้วยการวิ่งหาความสงบ ด้วยการเจริญวิปัสสนา เราจะเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง
แต่ผมถามว่าหัวใจคืออะไร?
หัวใจที่ลึกที่สุดคือหัวใจเดิมใช่ไหม?
คือเราหมกมุ่นกับการแก้ปัญหาความทุกข์ เราแค่เปลี่ยนวิธีเฉยๆ เราใช้วิธีที่เลิศเลอที่สุดคือ วิปัสสนากรรมฐาน ผมไม่ได้บอกว่ามันผิด
แต่ผมถามว่าหัวใจของเราคืออะไร?
คือเราคนนี้จะหนีทุกข์ใช่ไหม?
ทั้งหมดคือมีเราคนหนึ่งพยายามหาวิธีการที่จะหนีความทุกข์ เรายังคงหนีความทุกข์เหมือนเดิม ผมถึงบอกว่าเราไม่เคยเปลี่ยนแปลง เราคือมนุษย์คนเดิม และเราไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงได้
แต่การมีชีวิตที่เงียบเชียบ ไม่ได้เกิดจากการที่ฟังผม เมื่อผมอธิบายได้อย่างดี และเราคิดตามเหตุผลแล้วว่าอย่างนี้ถูก แล้วเราจะทำแบบนี้ นั่นคือวิธีของการหนีทุกข์เหมือนเดิม
แต่ความเข้าใจในการมีชีวิตอย่างเงียบเชียบ #จะต้องเป็นสิ่งที่เราทุกคนจะต้องค้นพบมันด้วยตัวเอง ว่าทำไมถึงต้องเป็นอย่างนั้น
ตามประสบการณ์ผม เราจะค้นพบว่าชีวิตมันเป็นความเงียบเชียบอย่างแท้จริง มันมักจะเกิดขึ้นจากความทุกข์ ความผิดหวัง ความไม่สมหวัง ความที่ไม่ได้อะไรอย่างที่เราต้องการ ความที่เป้าหมายทั้งหมดที่เราหวังไว้ทลายลงไป
#แล้วชีวิตที่เงียบเชียบจะเกิดขึ้นมา โดยที่ไม่มีใครมีไอเดียว่าเราจะมีชีวิตที่เงียบเชียบ มันเกิดขึ้นมา แล้วเราจะค้นพบมันว่านี่คือ ชีวิตที่แท้จริง
และใครสักคนหนึ่งจะใช้ชีวิตอย่างเงียบเชียบ ไม่ใช่เพราะว่าเราเชื่อคนอีกคนนึงบอกว่ามันถูก แต่เรารู้จักมันด้วยตัวเอง ด้วยหัวใจของเราเอง ด้วยชีวิตของเราเอง ว่าต้องเป็นแบบนี้
.
#อย่าหลบหนีจากชีวิต แล้วไปหาอะไรทำ
ขณะที่เราฟุ้งซ่าน เรารีบไปนั่งสมาธิ…ทำไม? จริงๆ เราหนีความฟุ้งซ่านใช่ไหม? เราอยากได้รับความสงบแทน เพราะมันดีกว่า
เราไม่หนีได้ไหม?
เราไม่ตามได้ไหม?
เราไม่ถอยได้ไหม?
แล้วเราก็ไม่สู้กับมันได้ไหม?
เราอยู่กับมันเฉยๆได้ไหม?
นี่คือชีวิตที่เงียบเชียบ ผมไม่ได้บอกว่ามันต้องดี แต่มันเป็นชีวิตที่เงียบเชียบ
ชีวิตเราทุกคนหลบหนีมาตลอดชีวิต เราไม่เคยเลิกจะหลบหนี
พอเราทุกข์ เราจะไปหาความสุข เราอยู่กับทุกข์ไม่ได้
พอเราเบื่อ เราจะไปหาอะไรทำ เราอยู่กับความเบื่อไม่ได้ เราต้องการได้รับบางสิ่งบางอย่างตลอดเวลา
เมื่อก่อนผมสอนในคลิปแรกๆว่า เราแค่ Being อยู่ในธรรมชาตินี้ คือเป็นอยู่ในธรรมชาตินี้เฉยๆ ไม่ใช่การใช้ชีวิตที่คิดว่าวันนี้เราจะได้รับอะไรดีๆบ้าง
เพราะฉะนั้น ชีวิตที่เป็นการภาวนานั้น ไม่ใช่ชีวิตที่หาอะไรทำ แต่เป็นชีวิตที่ไม่มีอะไรทำ
อย่าลืมที่ผมบอกว่า เราทุกคนเลือกที่จะมาปฏิบัติธรรม…หรือภาวนาทั้งชีวิตของเรา…เราเลือกสิ่งนี้ เราเลือกเพราะเราต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคนกับชีวิตนี้ เราต้องรู้ว่าอะไรคือสาเหตุ ต้นเหตุ หรือเหตุของมัน
และใช้ชีวิตนั้นด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง ที่เกิดขึ้นมาจากหัวใจของตัวเอง
อย่าใช้ชีวิตเดิมที่พยายามจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นชีวิตที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย

Tuesday Aug 16, 2022
286.มันต้องผลิบานขึ้นมาจากชีวิต
Tuesday Aug 16, 2022
Tuesday Aug 16, 2022
บรรยายเมื่อ 16-01-2565
เรามาฟังธรรมไม่ใช่เพื่อที่จะได้รับวิธีปฏิบัติธรรม พวกเรามีวิธีปฏิบัติธรรมกันเยอะมากแล้ว แต่เรามาเพื่อจะเข้าใจว่า #วิธีปฏิบัติธรรมนั้นจะต้องผลิบานขึ้นมาจากชีวิตแห่งอริยสัจ 4 เท่านั้น
เพราะถ้าวิธีปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้ผลิบานขึ้นมาจากชีวิตที่แท้จริง เราจะเป็นแค่คนที่รับวิธีปฏิบัติธรรมไป และใช้ความคิดกับวิธีปฏิบัติธรรมนั้นว่าจะต้องทำอย่างไร
และชีวิตหลังจากนั้นของเราก็กลายเป็นแค่วิธีปฏิบัติธรรม กลายเป็นแค่ชีวิตภายใต้ความคิด ภายใต้ภาพอันหนึ่งที่เราวาดเอาไว้ว่านี่คือวิธีปฏิบัติธรรม และนั่นคืออดีต...เราใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อดีต
เราไม่เพียงอยู่แต่ในอดีต...เมื่อเราวาดภาพของวิธีปฏิบัติธรรมเสร็จเรียบร้อย นั่นหมายถึงมันมีอนาคตอยู่ด้วย อนาคตเราจะได้รับบางสิ่งจากวิธีปฏิบัติธรรมแบบนี้
เพราะฉะนั้น #ชีวิตของเราเป็นได้แค่อดีตและอนาคต ไม่เคยที่จะรู้จักคำว่าปัจจุบันเลย
แต่ทีนี้เมื่อทุกคนเริ่มรู้จักว่า “ปัจจุบันนั้นคือเส้นทาง” และแล้วมันก็ได้กลายเป็นวิธีอีกครั้งหนึ่ง... “เรา” จะอยู่กับปัจจุบัน
เราอยู่กับปัจจุบัน หรือ ชีวิตนั้นเป็นปัจจุบัน?
เราสามารถจะแยก 2 สิ่งนี้ว่ามันต่างกันได้ไหม?
ชีวิตที่เป็นปัจจุบันนั้นเป็นชีวิตที่ความคิดเข้าไปไม่ถึง นั่นหมายถึงว่ามันไม่มีการตัดสิน มันไม่มีการให้ค่า ไม่มีการให้ความหมาย ไม่มีที่หมายใดๆหลงเหลืออยู่ มันจึงพ้นไปจากถูกผิดดีชั่ว อยู่พ้นไปจากการคอยประเมินทบทวนตัวเอง
เราชอบประเมินหรือทบทวนตัวเองว่า ตอนนี้เราทำถูกไหม? ตอนนี้เราดีหรือยัง? ก้าวหน้าไหม? ดีกว่าเดิมหรือยัง?
ทำไมเราทำแบบนั้น? เพราะเราไม่เข้าใจว่าอะไรคือการปฏิบัติธรรม เราเข้าใจแต่เรื่องของวิชาพัฒนาตัวเอง เราแค่เป็นคนที่ต้องการจะดีกว่านี้แค่นั้น
ที่เราปฏิบัติธรรมผิดกันทุกวันนี้ ก็เพราะว่าเรามานั่งเพื่อจะรับวิธีปฏิบัติธรรม แล้วก็เอาไปทำ เราไม่เคยให้มันเบ่งบานขึ้นมาจากชีวิตนี้ ชีวิตนี้เหมือนดิน ดอกไม้หรือดอกบัวจะต้องเบ่งบานขึ้นมาจากดินนี้
#เราต้องใช้ทั้งชีวิตนี้ที่จะเข้าใจวิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกสอนกันมา
เวลาความโกรธเกิดขึ้น ความไม่พอใจเกิดขึ้น เราจะรู้สึกทันทีว่า เราไม่ควรโกรธแบบนี้ ทำไมเราโกรธขนาดนี้ นี่เราปฏิบัติธรรม ขนาดนี้แล้ว...ยังเป็นขนาดนี้เลยหรือ? ทำไมมีคำพูดเหล่านั้นกับตัวเอง…เข้าใจไหม?
เพราะว่าลึกๆ ของเรานั้น เราคิดว่าเราจะดีกว่านี้ เราเข้าใจรากเหง้าของความเป็นเราไหม? เราเข้าใจการลวงหลอกของอัตตาว่ามันเก่งขนาดไหนไหม?
ชีวิตเป็นการรับรู้ที่ไม่มีการเลือก ชีวิตเป็นความรับรู้ ไม่ใช่เรารับรู้ มันมีความรับรู้อยู่แล้ว เป็นความรับรู้ที่ไม่มีการเลือก ไม่มีการตัดสินว่านั่นไม่ดี นี่ดีกว่า ไม่ใช่การพัฒนา ไม่ใช่การปรับปรุง ไม่ใช่เราจะดีกว่านี้ #แต่คือการเป็นอยู่กับทุกขณะไม่ว่าสิ่งนั้นจะคืออะไรตาม อยู่กับมันอย่างศิโรราบ อยู่กับมันโดยไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง แก้ไข จัดการ หรือทำอะไรบางอย่าง
และคำตอบจะอยู่ที่นั่น ทางออกจะอยู่ที่นั่น ความจริงอยู่ที่นั่น
ความจริงนั้นไม่ใช่เราสักคนนึงกำลังกำหนดทิศทางให้มัน #มันต้องไม่มีเรา_ความจริงถึงจะเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมนั้นเริ่มจากความบริสุทธิ์ที่สุด แล้วก็จบที่ความบริสุทธิ์ที่สุดเหมือนกัน #ไม่ใช่เริ่มจากตัณหาของใครสักคนนึงที่อยากจะบริสุทธิ์ หรือเริ่มจากใครสักคนนึงที่อยากจะเห็นความจริง
#มันไม่มีใครคนนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ แต่มันมีเมื่อเราคิด มันมีเมื่อข้อมูลต่างๆที่เราเรียนมา จำมา ถูกบอกเล่าสืบต่อกันมา และสร้างเราขึ้นมาเป็นระยะๆ “เรา”ไม่ได้มีอยู่ตลอด
ที่เรากำลังปฏิบัติธรรมอยู่ทั้งหมด ลองสังเกต ลองถามตัวเองดู ลองพิจารณาย้อนกลับไป #จริงๆแล้วเรากำลังหนีทุกข์อยู่ใช่ไหม? เรากำลังทำทุกอย่างเพื่อจะหนีความทุกข์แค่นั้น แม้กระทั่งเราพยายามจะเห็นตามความเป็นจริง ก็เพื่อจะหนีมันใช่ไหม? มีเราคนนึงกำลังจะหนีมันใช่ไหม? นี่เป็นคำถามที่เราต้องถามตัวเองในทุกครั้งที่ความทุกข์เกิดขึ้น
เราใช้ทั้งชีวิตที่จะพิจารณาสิ่งที่เรากระทำต่อความสุขและความทุกข์ ว่าเราทำอะไรลงไปบ้าง? กำลังเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อความสุขและความทุกข์เกิดขึ้นในขณะนี้?
เราเห็นความดิ้นรนที่เกิดขึ้นทั้งหมดของเราขณะนี้ไหม? และความดิ้นรนที่เรากำลังจะทำอะไรบางอย่าง ไม่ว่ามันจะดูดีแค่ไหนก็ตาม...ที่เหมือนการปฏิบัติธรรมเลยก็ตาม เบื้องหลังจริงๆแล้วเรากำลังหนีใช่ไหม?
และถ้าเราพบว่ามันเป็นอย่างนั้น และเรารู้ว่ามันไม่ใช่ เราจะทำยังไง? เราจะทำยังไงดี?
จนกว่าความพยายามทั้งหมดจะสิ้นสุดลงไป และชีวิตนั้นจะหยุด ซึ่งไม่ใช่วิธีปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ทางลัดที่นำไปสู่การปฏิบัติธรรมให้เร็วกว่านี้ #แต่ชีวิตนั้นหยุดด้วยการผ่านชีวิตแห่งอริยสัจ 4 นี้ด้วยตัวเราเอง แล้วเราจะเข้าใจคำว่าหยุด คำว่าพ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง คำว่ารู้สึกตัว คำว่าปกติ
และเมื่อชีวิตหยุดอย่างศิโรราบ จะเป็นแค่ความดำรงอยู่กับความเป็นทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ โดยไม่มีใครจะตัดสินให้คุณค่า ว่ามันดีหรือไม่ดียังไงกับภาวะที่กำลังเป็นอยู่นี้ และนั่นคือขณะแห่งชีวิตที่ความคิดเข้าไปไม่ถึง นั่นคือขณะแห่งความจริงสูงสุด ความจริงสูงสุดไม่ได้อยู่ข้างหน้า ความจริงคือขณะนี้ ที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้
แต่เราเข้าใจว่าความจริงมันต้องดีเท่านั้น ความจริงคือ สงบ สุข ว่าง นั่นคือความจริงของความคิดของเรา แต่จริงๆมันไม่ใช่ นั่นคือสิ่งที่เราอยากจะเป็นเฉยๆ มันอยู่ในอนาคต มันไม่จริง
ผมถึงบอกว่า #เราต้องรู้จักว่าอะไรคือจริง
#Camouflage
16-01-2565

Monday Aug 08, 2022
285.ระบบของความคิด
Monday Aug 08, 2022
Monday Aug 08, 2022
บรรยายเมื่อ 18-12-2564
การปฏิบัติธรรมคือ การเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในชีวิตนี้
…เห็นเงื่อนไข ข้อจำกัด ความสัมพันธ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้
…เห็นระบบของสายสัมพันธ์ของมันทั้งหมด
พระพุทธเจ้าใช้คำว่า “ความเข้าใจแจ่มแจ้งในกองทุกข์นี้” หรือเรียกว่า “อริยสัจ 4” มันไม่ใช่เรื่องลึกลับ
แต่พวกเราใช้ชีวิตกันอย่างตื้นเขิน เราต้องการแค่เชื่อ…แล้วทำตาม เราไม่เคยทำตามด้วยความลงลึกเข้าไปในตัวชีวิตนี้ด้วยตัวเราเองอย่างแท้จริง
ผมอยากให้เราเข้าใจว่า มันไม่ใช่เรื่องของการที่เรากำลังคิดว่า เราจะฝึกสติยังไงให้ดีกว่านี้ ฝึกสมาธิยังไงให้ดีกว่านี้ หรือจะฝึกให้มีปัญญายังไงให้ยิ่งกว่านี้ เรานึกออกไหม…นั่นคือ #ระบบของความคิด
แต่สิ่งที่ผมบอกคือ การที่เราเข้าใจระบบของความคิดทั้งหมดว่ามันกำลังสั่งให้เราทำอะไรบ้าง...นี่คือจริง เรื่องจริงมันเป็นแบบนี้
เราจะรู้จักเรื่องจริงได้ เราต้องรู้จักว่าอะไรคือเรื่องปลอมๆทั้งหมดในชีวิตนี้
เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธคือคำว่า “จริง” มีแต่คำว่าจริง
เราไปถึงคำว่า “จริง” ไหม…อันนี้ต้องถามตัวเอง
ถ้าผมจะพูดอะไรให้ฟัง...ให้มันน่าอภิรมย์หน่อย หรือว่าลื่นหูซักนิด อาจจะน่าสนใจกว่านี้ เช่นผมบอกว่า พวกเราทุกคนควรจะมาปฏิบัติธรรม วันนึงเราจะเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่าง วันนึงเราจะเป็นคนที่สามารถปล่อยวางได้ทุกสิ่งทุกอย่าง วันนึงเราจะยอมรับต่ออะไรๆที่กำลังเกิดขึ้นได้ทุกสิ่งทุกอย่าง วันนึงเราจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง วันนึงเราจะเป็นอิสระ วันนึงเราจะไม่มีเรา เราจะเป็นพระอรหันต์ เราจะเป็นคนที่ไม่มีความทุกข์เหลืออยู่เลย...ฟังดูรื่นหู เสนาะหู ไพเราะ
เกิดอะไรขึ้นทันที?
เราทุกคนจะเข้ามา พร้อมรับสิ่งที่ผมจะบอกให้ไปทำทั้งหมด แล้วเราจะตั้งหน้าตั้งตา “ทำกันแบบสู้ตาย”
เพราะเราหวังว่าวันนึงเราจะถึงที่นั่น เราจะได้รับความเป็นอย่างนั้น…ความไม่ทุกข์ ความเป็นพระอรหันต์ ความหลุดพ้น ความอิสระ
นึกออกไหม? “เรา” จะได้รับ
“เรา” ยังอยู่!
เรายังอยู่เหมือนเดิม
เราเป็นคนที่กำลังได้รับอะไรเหมือนเดิม เหมือนทั้งชีวิตที่เกิดมานั่นแหละ เราจะประสบความสำเร็จเหมือนที่เราเคยประสบความสำเร็จในทางโลกเหมือนเดิม
กับการที่ผมบอกว่า #การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเพียงแค่การตื่นและลืมตาขึ้นมาแค่นั้น
ความรู้สึกของการที่เราตื่นและลืมตาขึ้นในขณะแรกเป็นยังไง? มีเราเป็นผู้หลุดพ้นไหมตอนนั้น? มีไอเดียว่าเราเป็นผู้ไม่ทุกข์แล้วไหม? เราเป็นกลาง…เราปล่อยวาง…เรายอมรับทุกอย่างได้…มีไหมตอนนั้น?
ผมอยากให้เราเข้าใจว่า เราถูกล่อหลอกด้วยความหวังโดยมีความเป็นเรานี่แหละเป็นเหยื่อ เป็นเหยื่อที่หลอกง่ายที่สุด เพราะเราจะเอา จะบุกน้ำลุยไฟเท่าไหร่เราก็ทำ เพราะถ้าเราเชื่อว่าสิ่งนั้นมันดีเลิศประเสริฐ...เราจะทำ เพราะเราจะได้หนิ...ทำไมเราจะไม่ทำ เราต้องอดทนเรียนหนังสือ สอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ทำงานเพื่อจะได้สิ่งที่ดีเลิศประเสริฐ เช่น เงิน ทนทรมานเท่าไหร่เราก็ยอม
มันคือระบบเดียวกัน มันคือระบบของความคิดที่หลอกเรา ระบบความคิดที่ชี้นำชีวิตเรา ชี้นำชีวิตเราทั้งชีวิตจนกระทั่งเรามาปฏิบัติธรรม มันก็ยังชี้นำเราอยู่เหมือนเดิม เราไม่เคยเห็นความจริงว่าเราถูกมันครอบอยู่ตลอดเวลา ทุกขณะของชีวิตเราถูกมันครอบ
การเห็นความจริงของชีวิตคือเห็นที่นี่ เห็นเงื่อนไขบางอย่างที่ครอบงำชีวิตนี้ มันถูกบีบคั้นยังไง มันถูกเตะไปทางนู้นที เตะไปทางนี้ทีได้ยังไง เข้าใจเงื่อนไขทั้งหมดที่มีอยู่ในชีวิตนี้ นี่คือการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การไปเป็นอะไร
และเมื่อเรารู้ทัน เมื่อเราเห็นเงื่อนไขทั้งหมด เห็นความสัมพันธ์ทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นในแต่ละขณะของชีวิต ความยึดมั่นต่อสิ่งๆนั้นจะสลายไป จะเหลือแค่การใช้ชีวิตจริงๆ เหลือแค่ชีวิตที่เป็นปัจจุบันจริงๆ
แล้วเราจะพบว่าชีวิตเราต้องทำอะไรน้อยมากเลย ที่เราต้องทำมาก ก็เพราะความยึดมั่นในความคิดที่ชี้นำเรา และเราเชื่อมัน
เพียงแค่ไม่มีความยึดมั่นต่อความคิดและความเห็นที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะของชีวิต ไม่ใช่เราไม่ทำอะไร แต่เราจะรู้สึกว่าสิ่งที่เราจะต้องทำมันน้อยลง เพราะหลายเรื่องที่ถ้าหมดตัณหาไปแล้ว มันก็ไม่ต้องทำ มันจะเหลือแค่บางเรื่องที่ต้องทำเท่านั้น
Camouflage
18-12-2564

Monday Aug 01, 2022
284.การปฏิบัติธรรมอยู่ที่ไหน
Monday Aug 01, 2022
Monday Aug 01, 2022
บรรยายเมื่อ 11-12-2564
284.การปฏิบัติธรรมอยู่ที่ไหน
เรายังรู้สึกอยู่ไหมว่าการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งของชีวิต
ถ้ามันเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งของชีวิตแปลว่า ชีวิตนี้จะมีอีกหลายกิจกรรมนอกจากการปฏิบัติธรรม นั่นแปลว่าการปฏิบัติธรรมนั้นถูกแยกส่วนไปเป็นส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของชีวิตนี้ นั่นแปลว่าคำพูดที่เราเคยได้ยินว่าให้หลอมรวมการปฏิบัติเข้าไปในชีวิตให้ได้เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นกับชีวิตนี้
ในความเป็นจริงมันไม่ใช่การหลอมรวมการปฏิบัติเข้าไปในชีวิตนี้ให้ได้ แต่มันเป็นความเข้าใจชีวิตนี้อย่างลึกซึ้งว่า #ชีวิตนี้นั้นเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว ชีวิตกับการปฏิบัติธรรมนั้นคือสิ่งเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้ แยกเป็นของ 2 อย่างไม่ได้
ถ้าการปฏิบัติธรรมนั้นถูกแยกออกเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เราจะทำ สิ่งที่ถูกแยกออกได้นั้นเป็นได้แค่อย่างเดียวคือความคิด คือไอเดีย คือสิ่งที่เราจะไปถึง คือเป้าหมาย คือการที่เราพยายามจะไปถึงอีกที่หนึ่ง #และเราไม่รู้จักที่นี่ เรามองข้ามที่นี่ไป ไปทำอีกอย่างหนึ่งเพื่อจะไปถึงอีกที่หนึ่งของกิจกรรมนั้น
เราปฏิบัติธรรมอย่างตื้นเขินที่เราจะเห็นแค่กิเลส เห็นแค่สภาวธรรม เราเห็นทุกอย่างแบบแยกส่วน เราเห็นตามทฤษฎี เราเห็นตามคำสอน เราเห็นตามคำบอกกล่าว และเราทำแค่นั้น
เราแค่พยายามที่จะทำตามความเชื่อในคำสอนที่มีขอบเขตอันจำกัด คำพูดนั้นมีขอบเขตจำกัดในตัวมันเอง แล้วเมื่อเราฟังคำพูด เรามีภาพของเรา เรามีขอบเขตของความหมายของคำพูดนั้น และเราทำตามนั้น เราทำตามภาพที่เราคิดเอาเอง
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมนั้นคือ ชีวิตที่เปิดกว้าง ชีวิตที่ผ่อนคลาย ชีวิตที่พร้อมจะเห็นความเคลื่อนไหว ความเป็นไป ความเป็นทั้งหมดของเหตุและปัจจัยมากมายที่เกิดขึ้นในขณะนี้
เมื่อเราเห็นชีวิต เห็นความเป็นทั้งหมดของมันในแต่ละขณะของชีวิต ชีวิตเราจะไม่คับแคบ การใช้ชีวิตนั้นไม่มีขอบเขต ไม่มีกรอบอันคับแคบของความคิดนั้นบังคับเอาไว้ ไม่มีความสับสน ไม่มีความยุ่งเหยิง ไม่มีความวุ่นวาย แล้ววันนึงเราจะได้รู้จักการใช้ชีวิตที่ไม่ต้องเลือก #เราแค่ฟังเสียงของชีวิตเท่านั้น เราจะรู้จักการฟังเสียงของชีวิต
และเมื่อเราใช้ชีวิตที่ไม่ต้องเลือก เราไม่ได้เป็นคนเลือก ชีวิตเราจะอยู่เหนือถูกเหนือผิด เหนือการตัดสินแบ่งแยก
.
เบื้องลึกที่สุดของหัวใจของเรา เรายังมีความหวังว่าเราปฏิบัติธรรมแล้ววันนึงเราจะเป็นพระโสดาบันหรือพระอรหันต์ไหม?
หรือว่าเราจะมีจิตใจที่ไม่มีกิเลส สะอาด บริสุทธิ์ เบื้องลึกที่สุดของหัวใจของเรายังมีความหวังนั้นไหม?
ฉันต้องได้อะไรบ้างแหละในชีวิตนี้ หรือฉันคงต้องดีกว่านี้บ้างแหละในชีวิตนี้ ยังมีไอเดียนั้นไหม?
ฉันคงต้องดีกว่าคนในโลกบ้างแหละ หรืออย่างน้อยที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีกว่าคนที่มีกิเลสในโลกนั่นแหละ ยังมีไอเดียนั้นไหม?
ฉันก็ยังดีกว่าคนในบ้านฉันที่ไม่ปฏิบัติธรรมสักคนนึงเลย ยังมีไอเดียนั้นไหม?
ใช่ไหมที่นักปฏิบัติธรรมเกือบจะทุกคน ลงทุนปฏิบัติธรรมด้วยไอเดียแบบนี้ และมีไอเดียเหล่านี้ตลอดชีวิตการปฏิบัติธรรม
คำถามผมคือว่า แล้วเราจะได้ปฏิบัติธรรมตอนไหน? เพราะชีวิตนั้นไม่เคยเป็นชีวิตจริงๆ เลย
ตอนเด็กๆ เราเติบโตขึ้นมา เราตั้งใจเรียนหนังสือ เราตั้งใจอ่านหนังสือ เราตั้งใจสอบ เพราะเราหวังว่าจะผ่าน เราหวังว่าเราจะได้ที่ 1 เราหวังว่าเราจะได้รับคำชมว่าเราเรียนเก่ง เราหวังว่าเราจะได้รับอะไรที่ดีกว่าในขณะนี้
ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การอยู่ในครอบครัว การอยู่กับเพื่อน การทำงาน #เราอยู่ในโครงสร้างของการที่เราทำอย่างนี้เพราะเราจะได้รับอย่างนั้น เราทำอย่างนี้เพราะเรามีสิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้รับอย่างนั้น แล้วเราใช้วิธีเดิม ใช้วิธีคิดเดิมๆ โครงสร้างของความเป็นเราเหมือนเดิมมาปฏิบัติธรรม
เข้าใจที่ผมบอกมั้ยว่า มันถึงกลายเป็นแค่อีกกิจกรรมหนึ่งของชีวิตเท่านั้นที่เราเรียกว่าการปฏิบัติธรรม แต่มันอยู่ภายใต้โครงสร้างของวิธีคิดเดิมๆ
ความเข้าใจโครงสร้างทั้งหมดของชีวิตที่ผมพูดถึงนี้ เห็นความเป็นทั้งหมดของตัวเอง เห็นกระแสความเป็นไปทั้งหมดของชีวิตนี้ และเราเข้าใจมันทั้งหมดได้อย่างแท้จริง นี่คือการปฏิบัติธรรม
ความเข้าใจทั้งหมดที่ผมพูดนี้คือสิ่งที่เราเรียกว่าอริยสัจ 4 รู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง
เมื่อเราพูดถึงอริยสัจ 4 มันดูยากเหลือเกิน ถ้าเราพูดกันง่ายๆคือแบบนี้ เราเข้าใจกระบวนการทั้งหมด เบื้องลึก เบื้องหลัง ความขับดันทั้งหมด ความหลงเหลือทั้งหมด ความไปสู่บางสิ่งบางอย่างทั้งหมด ความเดือดร้อนดิ้นรนทั้งหมด
ถ้าเราเข้าใจว่าอะไรเป็นการปฏิบัติธรรมกันแน่ เราจะค้นพบความจริงที่สำคัญสูงสุดคือ ชีวิตที่ไม่หลงเหลือเป้าหมายใดๆให้ใครบรรลุถึง เป็นเพียงแค่การเห็นกระแสของชีวิตนี้ #เห็นความเป็นไปของมันอย่างไม่มีวันจบสิ้นแค่นั้น
#เราคือการเห็นนั้น_และจุดจบของเราอยู่ที่นั่น แต่มันต้องไม่ใช่ Sense ของการที่เราได้เป็นการเห็นนั้น...และเราถูก
#Camouflage
11-12-2564

Tuesday Jul 26, 2022
283.ระบบของความคิด ระบบปฏิบัติธรรม ระบบของอัตตา
Tuesday Jul 26, 2022
Tuesday Jul 26, 2022
บรรยายเมื่อ 21-11-2564
เมื่อคนคนนึงรู้จักชีวิตที่แท้จริง เขาจะรู้ว่ามันไม่สามารถอธิบายได้ และไม่มีวิธีการหรือระบบการปฏิบัติการ ระบบการปฏิบัติธรรมใดๆที่จะเป็นเส้นทางอย่างชัดเจน ที่จะไปถึงชีวิตที่แท้จริง
เพราะว่าเมื่อระบบของเส้นทางเกิดขึ้น ระบบของเส้นทางนั้นเป็นตัวแทนของความคิด และคนที่ได้รับเส้นทางจะกระทำการปฏิบัติธรรมภายใต้ระบบของความคิด ซึ่งความคิดนั้นไม่สามารถจะเชื่อมเข้ากับความจริงได้ #ไม่มีวันจะเป็นไปได้
แต่ทุกวันนี้เราใช้ระบบของความคิด ระบบของเส้นทางที่ถูกแปลออกมาจากความคิด
แล้วเราใช้ความคิดของเรารับระบบการปฏิบัติธรรมนั้น
และดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ระบบของความคิดนั้น
เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกว่าทั้งหมดที่เราทำ ถ้าเรายังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ระบบของความคิด หรือปฏิบัติธรรมอยู่ภายใต้ความเชื่อที่เราเชื่อ
นั่นแปลว่าที่ผ่านมาทั้งหมดของเรานั้นเรายังไม่ได้เริ่มปฏิบัติธรรมเลย
ถ้าเราแค่นั่งเฉยๆ และไม่มีทิศทางของระบบความคิด ความเชื่อใดๆชี้นำ แค่นั่งเฉยๆ เราจะค้นพบว่ามีสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกตัว เราจะค้นพบชีวิตที่เป็นปกติ เราจะค้นพบสภาพที่พ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง เราจะค้นพบสภาพเดิมแท้ สภาพดั้งเดิมของชีวิต ซึ่งเป็นสภาพก่อนหน้าที่ระบบของความคิด ระบบของความเชื่อ กำลังบอกเราว่าจะต้องทำอะไรต่อตัวชีวิตนี้
ทุกวันนี้เราไม่รู้จักสภาพนี้ ทุกวันนี้เราพยายามปฏิบัติธรรม เราพยายามรู้สึกตัว เราพยายามรู้ทันความคิด เราพยายามรู้ทันสภาวธรรมต่างๆในจิตใจ
เรายังไม่ได้ออกจากความคิดเลย
เราไม่เคยออกจากความคิดเลย
เรารู้ทันความคิดภายใต้ความคิด
เรารู้ทันความปรุงแต่งของอารมณ์ภายใต้ความปรุงแต่งของความเชื่อ
เรายังไม่เคยออกไปไหนเลย
เราอยู่ที่เดิม
ผมอธิบายทั้งหมดเพื่อให้เราเห็นภาพหรือเข้าใจตัวเองว่า เราผิดพลาดกับคำว่าปฏิบัติธรรมมากมายขนาดไหน และเมื่อเราเข้าใจความผิดพลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้น เราจะเข้าถึงชีวิตที่แท้จริงที่เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว ผมบอกว่ามันเป็นอยู่แล้ว
การปฏิบัติธรรมมันเป็นชีวิตอยู่แล้ว เมื่อเราเลิกทำสิ่งที่ผิดทั้งหมด สิ่งที่เราต้องการจะปรากฏออกมา มันเป็นอยู่แล้ว
มันถึงเป็นคำพูดที่ผมบอกว่า มันไม่มีเส้นทางที่จะไปสู่สิ่งที่เป็นอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว
เหมือนที่ผมยกตัวอย่างว่า พวกเรากำลังถามผมว่า ช่วยสอนหน่อยว่าจะเป็นคนยังไง
แล้วผมบอกว่าเราเป็นคนอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อ เราจึงวิ่งออกหาเส้นทางว่าจะทำให้ตัวเองเป็นคนยังไง และพยายามรับเส้นทางเหล่านั้นมาในชีวิตของเรา และปฏิบัติตามเส้นทางที่เรารับมานั้น เพื่อจะเป็น”คน” นี่คือวิถีของนักปฏิบัติธรรม เราทำแบบนี้
เพราะฉะนั้น เราแค่เลิกทำทุกอย่างที่ไร้สาระแบบนั้น แล้วเราจะพบว่าเราเป็นคนอยู่แล้ว
เราต้องเห็นโครงสร้างที่เราเป็นอยู่ เราในฐานะกู กูกำลังไม่มีสิ่งที่ดีตามที่กูเชื่อ แล้วกูอยากจะมีสิ่งๆนี้ตามที่เขาบอกมา แล้วกูจะทำสิ่งๆนี้ เพื่อจะได้รับสิ่งที่ดี เพราะกูอยากได้ดี เราเข้าใจโครงสร้างของกูไหม
เราอยู่ภายใต้ระบบของความเชื่อของอัตตา และเราทำตามนั้น เราเชื่อระบบของอัตตา ระบบของอัตตาเป็นความคิดอย่างหนึ่ง และนักปฏิบัติธรรมเราใช้ระบบนี้ในการปฏิบัติธรรม
การเห็นโครงสร้างทั้งหมดที่ผมพูดนี้ ถึงจะเรียกว่าการปฏิบัติธรรม
#Camouflage
21-11-2564

Tuesday Jul 12, 2022
282.เมื่ออริยมรรคกลายเป็นความเชื่อ
Tuesday Jul 12, 2022
Tuesday Jul 12, 2022
บรรยายเมื่อ 13-11-2564
282.เมื่ออริยมรรคกลายเป็นความเชื่อ
วิถีการฝึกจิตให้มีสติและสมาธินั้นเป็นกลิ่นอาย เป็นบรรยากาศที่มีบุคคลมากมาย ลัทธิต่างๆ ได้ทำกันมาตั้งแต่ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมา
คนเหล่านั้นฝึกกายและฝึกจิตอย่างหนัก จนได้ฌาน ได้อรูปฌาน ได้สมาธิที่ลึกล้ำมากมาย แต่ไม่พ้นทุกข์ เพราะอะไร
แท้จริงพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ต้องมาจากสัมมาทิฏฐิโลกุตระ มันต้องมาจากความไม่มีเรา ปราศจากซึ่งเจตนาใดๆ ทั้งสิ้น
ความปราศจากซึ่งเจตนาใดๆ ทั้งสิ้น นั่นหมายความว่าเราต้องลืมทั้งหมดที่เป็นความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม แล้วเหลือแค่ชีวิตนี้จริงๆ
พระพุทธเจ้าท่านประทานคำสอนที่สำคัญมากที่เราชาวพุทธไม่เคยเข้าใจเลยคือ อริยมรรคมีองค์ 8
ผมเคยบอกพวกเราหลายครั้ง ให้เราสังเกตว่า ทำไมสัมมาสติและสัมมาสมาธิ มันไปอยู่ข้อ 7 กับข้อ 8
ถ้าที่เราฝึกกันทุกวันนี้ ที่เรายกสัมมาสติและสัมมาสมาธิมาเป็นเรื่องสำคัญของการปฏิบัติธรรมของเราทุกคนในประเทศนี้ตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นทำไมมันไม่อยู่ข้อ 1 กับข้อ 2 ทำไมพระพุทธเจ้าไม่เอามันไว้ตั้งแต่ข้อแรกเลย เพราะนั่นคือเส้นทางของดาบส เส้นทางของฤาษี เส้นทางก่อนที่ท่านจะค้นพบความเป็นจริงว่าอะไรคือทางพ้นทุกข์
ท่านใช้คำว่า “สัมมาสติ” และ “สัมมาสมาธิ” ท่านมีคำว่าสัมมาขึ้นมา เพื่อให้แตกต่างกับสติและสมาธิ
สัมมาสติและสัมมาสมาธิ เกิดขึ้นจากสัมมาทิฏฐิโลกุตระ เกิดขึ้นจากความไม่มีเรา และความไม่มีเรานั้นคืออะไร?
ความไม่มีเรานั้นคือ “จิตคือพุทธะ” คือ “ธาตุรู้” สัมมาสติและสัมมาสมาธิเป็นอวตารหนึ่ง เป็นปางหนึ่งของธาตุรู้ ไม่ใช่เราไปเพิ่มสติและสมาธิด้วยตัวเราเอง
เราเคยเห็นสภาพตัวเองที่ปฏิบัติต่ออริยมรรคมีองค์ 8 มั้ยว่าเป็นยังไง?
เราเอาทีละข้อมาอ่าน และเราแปลมัน #แล้วมันกลายเป็นความเชื่อ กลายเป็นเป้าหมาย และกลายเป็นอุดมคติอันนึงในชีวิตของเรา แล้วเราทำทีละข้อ เราจะทำทีละข้อจนกว่าแต่ละข้อนั้นสมบูรณ์
เราแปลสัมมาสติ ด้วยสติปัฏฐาน 4 และเรามีเป้าหมายว่า จะต้องรู้ให้เร็ว รู้ให้ไว รู้ทุกขณะ ไม่หลง นี่คือเป้าหมายของเราใช่ไหม?
เราเปลี่ยนมรรคมีองค์ 8 ที่พระพุทธเจ้าประทานให้เรา เราเปลี่ยนมันจากชีวิตจริงๆ ให้กลายเป็นความเชื่อ กลายเป็นเป้าหมาย กลายเป็นอุดมคติอันหนึ่ง ที่เราคนนี้จะไปให้ถึง
แล้วเมื่อมีเราคนนี้จะไปให้ถึง นั่นคือเราไม่เข้าใจว่าสัมมาทิฏฐิโลกุตระคืออะไร นั่นคือที่ผมสอนมาตลอดว่า เรายังไม่เข้าใจเลยว่าข้อแรกที่พระพุทธเจ้าสอนคืออะไร แล้วเราก็ขยันปฏิบัติธรรม
และเมื่อเราไม่เข้าใจว่าความไม่มีเรา หรือโลกนี้ว่างจะความเป็นสัตว์ตัวตนบุคคลเราเขานั้นเป็นยังไง...อย่างน้อยทางความคิดก็ได้ เมื่อเราไม่เข้าใจสิ่งๆนั้น เราจะทำ...จะทำทุกอย่าง และเมื่อเราพยายามทำทุกอย่าง ชีวิตแห่งอริยมรรคมีองค์ 8 ที่แท้จริงก็ได้หายไป
ชีวิตแห่งอริยมรรคมีองค์ 8 นั้นคือ #การใช้ชีวิต ที่มีชีวิตและธาตุรู้เป็นผู้นำทาง แต่เมื่อเราเปลี่ยนอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นความเชื่อ ชีวิตจะถูกอวิชชานำทาง คือเราเอง
และเรานี่แหละจะเป็นคนปฏิบัติตามทุกคำสอน ที่พระพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้
เราอยากเห็นกายและจิตนี้ตามความเป็นจริง แต่เวลาจิตฟุ้งซ่าน เรารู้สึกว่ามันไม่ถูก เรารีบมานั่งสมาธิ
เราเห็นกระบวนการของการตัดสินของเราต่อจิตนี้ไหม และเราแทรกแซงมันตลอดเวลา เราจัดการมันตลอดเวลา นี่คือความบ้องตื้นของนักปฏิบัติธรรม
เราจะมานั่งเฉยๆ หลังจากความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะว่าความฟุ้งซ่านนั้นเป็นความผิด หรือความถูก หรือความไม่ดี แต่คนคนหนึ่งออกจากมันไม่ได้ ตามเข้าไปในมันตลอดเวลา และเป็นเพราะเราตามเข้าไปในมันตลอดเวลา ความฟุ้งซ่านนั้นถึงยังคงดำรงอยู่ได้อย่างยาวนาน
เราเห็นกระบวนการทั้งหมดนี้ไหม เราเข้าใจกระบวนการทั้งหมดนี้ไหม
เมื่อเราเข้าใจกระบวนการทั้งหมดนี้ เราจะเข้าใจว่าถึงเวลาที่จะต้องหยุดตามมัน ก็คือมานั่งเฉยๆ หรือเราจะเรียกชื่อว่านั่งสมาธิก็ได้ แต่มันไม่ใช่การมานั่งเพราะว่ามันไม่ดี
แต่เราหยุด เพราะเราเข้าใจกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้น ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และส่งผลอะไร
นี่คือตัวอย่างง่ายๆ ที่เราจะต้องรู้ว่า ทำไมเราถึงทำอะไรสักอย่างนึง ซึ่งมันไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อว่ามันถูกบอก ว่ามันผิด มันไม่ดี มันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น มันไม่ถูก
แต่มันต้องเกิดขึ้นจาก #ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งกับแต่ละขณะที่กำลังเกิดขึ้น ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และมีเรากำลังรู้สึกอะไรกับมัน และกระบวนการทั้งหมดของชีวิตนั้น #จะเปิดเผยทางออกออกมาเอง แต่เราไม่เข้าใจ เราใช้เชื่อ!
#เราแค่จะทำให้ไม่ดีเป็นดีแค่นั้น
ถ้าเราเข้าใจการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง เรามีความกระจ่างแจ้งต่อกระบวนการความเป็นไปในแต่ละขณะของชีวิตนี้อย่างแท้จริง #จะไม่มีคำว่าการปฏิบัติธรรม จะไม่มีคำว่าอุบาย จะไม่มีอะไรทั้งนั้น
เมื่อมันเหลือแค่ของจริงๆ ล้วนๆ แล้วของปลอมจะมีประโยชน์อะไรอีก
มันคือส่วนเกิน มันคือภาระ
มันคือสิ่งที่ทำให้เราหลงผิดจากความจริงต่างหาก
มันคือสิ่งที่ทำให้เราสับสน
มันคือสิ่งที่ทำให้เราเข้าไปสู่การตัดสินและแบ่งแยกสิ่งที่เป็นอยู่จริงในขณะนี้
#Camouflage
13-11-2564

Tuesday Jul 05, 2022

Tuesday Jun 28, 2022
280.จุดอ้างอิง ระยะทางและกาลเวลา
Tuesday Jun 28, 2022
Tuesday Jun 28, 2022
บรรยายเมื่อ 21-10-2564
#ชีวิตของการปฏิบัติธรรมนั้นไม่สามารถจะมีจุดอ้างอิงใดๆ ได้ ไม่สามารถจะมีจุดตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลางของการไว้ใช้อ้างอิงหรือเปรียบเทียบได้
เพราะถ้ามีจุดอ้างอิงและเกิดการเปรียบเทียบ มันคือความแบ่งแยก จะเกิดการตัดสิน และผลจากการตัดสินนั้น จะเกิดอะไรอีกหลายอย่างที่เราเรียกว่า กรรม
ชีวิตที่ไม่มีจุดอ้างอิงใดๆ เลย คือความสมบูรณ์ ความเป็นทั้งหมด ของแต่ละขณะในการใช้ชีวิต
ไม่มีการอ้างอิงกับความรู้ กับตำรา กับสิ่งต่างๆ ที่เราเคยเรียนมา เพราะถ้าชีวิตในขณะนี้กำลังต้องใช้ทิศทาง หรือจุดอ้างอิงของความรู้ หรือสิ่งที่เราเชื่อว่าถูกต้อง ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นอดีต ชีวิตขณะนี้ของเราจะกลายเป็นอดีต
ความเข้าใจในชีวิตนั้น เกิดขึ้นได้ขณะนี้เท่านั้น โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบกับความรู้ใดๆ ที่เราเคยมีมาเลย
การที่เราคนนึงปรากฏขึ้นในขณะนี้ และคอยเปรียบเทียบขณะนี้กับอดีตที่เราเชื่อ ว่าถูก ว่าดี มันมีความรู้สึกยังไง?
มันเต็มไปด้วยตัวเรา มันเต็มไปด้วยความแบ่งแยก มันเต็มไปด้วยความเห็นที่ว่า เราคนนึงจากจุดนี้จะไปถึงจุดที่เราเชื่อว่าถูก ที่เราเชื่อว่าดี เราจะกลายเป็นสิ่งนั้น #นี่คือชีวิตของระยะทางและการเวลา
เราพยายามจะเปลี่ยนจิตใจนี้ ให้เป็นดั่งอุดมคติที่เราหวังเอาไว้ ให้เป็นดั่งอุดมคติที่เราเชื่อตามทฤษฎีบางอย่าง
เราทุกคนคิดเหมือนกันว่าเมื่อเราปฏิบัติธรรมแล้ว เราจะกลายเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ดีกว่าตอนนี้
เราไม่เข้าใจว่า #การปฏิบัติธรรมเป็นเพียงแค่มิจฉาทิฏฐินั้นหายไป
.
เมื่อมีการกระทบเกิดขึ้น มีความโกรธเกิดขึ้น มีความไม่พอใจเกิดขึ้น มีความหงุดหงิดเกิดขึ้น
ขณะนั้น เกิดอะไรขึ้นกับเรา ?
ขณะถัดมา เราทำอะไร ?
เราเห็นกระบวนการของความคิดไหมว่า เรากำลังดึงทฤษฎีบางอย่างที่เราเคยเรียนมา เคยได้ยินมา...ที่เราเชื่อ แล้วจะกระทำต่อความโกรธนั้น
เช่น เราจะดูมัน เพราะอาจารย์สอนไว้ เราจะรู้มันเฉยๆ เพราะอาจารย์สอนไว้ เราจะเห็นมันเกิดแล้วมันดับ เราจะเห็นมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เมื่อความโกรธเกิดขึ้น เรากำลังดึงความรู้ทุกอย่างที่เราเคยเชื่อมาใช้กับมัน...เราเป็นแบบนั้นไหม ?
หรือเมื่อชีวิตที่พ้นจากทุกจุดอ้างอิง
พ้นจากทุกความเชื่อ
พ้นจากความรู้สึกว่ามันควรจะเป็นยังไง
แล้วจะส่งผลให้เกิดการรู้มัน เห็นมัน รับรู้มันอย่างเฉยๆ หรือเห็นกระบวนการความเป็นไปของมันทั้งหมด แม้กระทั่งในขณะนั้นจะเป็นเราที่รู้สึกโกรธด้วยซ้ำ
เราเป็นไหม...ถ้าเป็นเรารู้สึกโกรธ จะเกิดความคิดอีกอันหนึ่งว่า เราไม่ควรจะโกรธ เราควรจะเห็นความโกรธ...มีความคิดแบบนี้เกิดขึ้นไหม?
นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็นอีกแล้ว !
มันคือสิ่งที่ควรจะเป็นได้ #เพราะมันมีจุดอ้างอิงบางอย่าง มีความเชื่อ
แต่ถ้าปลดพันธการเหล่านี้ให้หมดไป มันจะเหลืออะไร ?
#มันจะเหลือความเป็นทุกอย่าง...อย่างที่มันเป็น
เราจะเห็นทุกลีลาของมัน
มันจะเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลงรูปแบบของพลังงานต่างๆ อย่างอิสระ
เราจะเห็นความเป็นทั้งหมดของมัน โดยไม่มีไอเดีย ความเชื่อ จุดอ้างอิงบางอย่าง ที่คอยรบกวนความเป็นทั้งหมดของกระแสของชีวิตนี้
นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าประกาศตัวเองว่า ท่านคือผู้ที่ตื่นแล้ว คือ #ตื่นขึ้นมาจากความเชื่อทั้งหมด ตื่นขึ้นมาจากจุดอ้างอิงในอดีตทั้งหมด
#Camouflage
21-10-2564

Monday Jun 20, 2022

Monday Jun 13, 2022

Tuesday Jun 07, 2022

Monday May 30, 2022

Monday May 23, 2022
275.สิ่งที่ปิดกั้นการเห็นตามความเป็นจริง
Monday May 23, 2022
Monday May 23, 2022
บรรยายเมื่อ 19-09-2564

Monday May 16, 2022

Monday May 09, 2022