Episodes
Friday Jan 19, 2024
343.ฝ่ากระแสมิจฉาทิฏฐิ
Friday Jan 19, 2024
Friday Jan 19, 2024
บรรยายเมื่อ 02-09-2566
ผมเคยบอกว่า คนคนนึงจะออกจากโลกได้ จะต้องฝ่ามิจฉาทิฏฐิทั้งหมดของโลกนี้
ความคิดของเราต่อความสัมพันธ์ทั้งหมด ต่อสมมติทั้งหมด ที่เราเป็นจริงเป็นจัง ความคิดเหล่านั้นทั้งหมดเป็นตัวแทนของมิจฉาทิฏฐิของมนุษย์ทั้งโลกนี้
การที่เราจะต้องฝ่าความเห็นผิดนั้นไป หมายถึงว่า เราจะต้องฝ่าพลังงานทั้งหมดที่มนุษย์คิดเหมือนกัน
และถ้าเราฝ่าไปได้นิดนึง แล้วเราก็รู้สึกว่ายากนะ เอาไว้ก่อนแล้วกัน อยู่ตรงนี้ เราก็โอเคหนิ เราก็จะกลับมาที่เดิม
เราต้องฝ่าเข้าไป ในการฝ่านั้นมีความเจ็บปวดเสมอ ถ้าเราไม่ยอมเจ็บปวด ชีวิตเราก็สบาย และเมื่อชีวิตสบาย มันก็อยู่แค่นี้ อยู่ที่เดิมไปเรื่อย ๆ
แต่การฝ่าทะลุพลังงานทั้งหมดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่ออกมาในรูปของความคิด ความรู้สึก อารมณ์ มันเจ็บปวด และมันจะดันเรากลับ
ในขณะของการฝ่านั้น สิ่งที่ต้องมีสูงสุด คือ ปัญญา และความอึด ถึก
เหมือนจรวดที่จะต้องมีเชื้อเพลิงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการขาดตอน ไม่มีการที่จะให้ดันกลับ
แต่พอคนเรามันไม่มีพลังงานของปัญญา ไม่มีพลังงานของความอึด ถึกแบบนั้น พอดันเข้าไป ๆ แล้วมันก็ถูกดันกลับ
และพอเป็นแบบนี้หลาย ๆ ครั้ง เราก็เลิก
เราไม่อยากเจ็บปวดแบบนั้นแล้ว ไปไม่ไหว เจ็บปวดหัวใจเกินไป รับไม่ได้ ทรมานใจมากเกินไป และนั่นคือวิธีของมิจฉาทิฏฐิที่จะทำให้คนไม่ยอมฉลาด
ตอนที่เรากำลังจะทะลุขึ้นไป จากชั้นพลังงานมิจฉาทิฏฐิทั้งหมด สิ่งที่เราทำได้อย่างเดียว คือ ถ้าเราไปต่อไม่ได้ เราจะต้องไม่ถอย
ถ้าชีวิตเรามีความทุกข์และความบีบคั้นน้อย เราต้องมีปัญญามากที่สุด ในการฝ่าวงล้อมนี้ออกไป
...
เราจะต้องเผชิญความสัมพันธ์อันหลากหลาย ไม่ว่าความสัมพันธ์นั้นจะให้ความทุกข์ หรือความสุข
หลังจากให้ความทุกข์ เกิดอะไรขึ้น? มันอาจจะให้ทุกข์มากขึ้น หลังจากที่เราได้ปรุงแต่งมากขึ้น หรือถ้ามันให้ความสุข เราก็อยากจะได้อีก มันก็เป็นความทุกข์อีกแบบหนึ่ง
เราต้องแจ่มแจ้งในความจริงของชีวิตว่า แต่ละอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด หรือความสัมพันธ์ทั้งหมด มันไม่มีแก่นของความจริง ในรูปแบบที่มนุษย์เคยสรุป ในเชิงของคุณค่านั้นเอาไว้จริง ๆ
นี่คือสิ่งที่ผมบอกว่า เราต้องแจ่มแจ้งในโลก แจ่มแจ้งในชีวิตเบื้องต้นก่อน แบบนี้
หลังจากเราแจ่มแจ้ง เข้าใจในความลวงหลอกทั้งหมดของชีวิตนี้แล้ว ผ่านการพิจารณา ขั้นตอนต่อไปคือ การฝ่ามันออกไป
ตอนที่พิจารณาทั้งหมดนั้น ใช้ความเจ็บปวดจากปฏิสัมพันธ์ หรือความคิดของเราเอง ในการอยู่ในโลกนี้ ซึ่งมันก็ทุกข์บ้าง สุขบ้าง และอาจจะทุกข์เยอะกว่าสุข นี่คือความเจ็บปวดที่มากระดับหนึ่ง ที่มากพอที่จะทำให้คนคนนึง หาทางพ้นทุกข์ แต่จะหาทางถูกมั้ย นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
และเมื่อคนคนนั้นหาทาง แล้วไปอย่างที่ผมบอก มันจะเกิดการฝ่ากระแสทั้งหมดของมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งอันนี้เจ็บจริง ทุกข์จริง
ในเบื้องต้นที่เราได้พิจารณาแล้วนั้น จะเป็นรากฐานสำคัญของความมีปัญญาในชีวิต เป็นเชื้อเพลิงสำคัญ ของการทะลุผ่านมิจฉาทิฏฐิขึ้นไป
เพราะฉะนั้น เราต้องแจ่มแจ้งชีวิตอย่างมาก ในทุกอย่าง ในโลกนี้
เพราะมันคือเชื้อเพลิงสำคัญที่สุด ที่จะฝ่าพลังงานแห่งมิจฉาทิฏฐิทั้งหมดนี้ออกไปได้
#Camouflage
02-09-2566
Thursday Jan 11, 2024
342.อกาลิโก
Thursday Jan 11, 2024
Thursday Jan 11, 2024
บรรยายเมื่อ 02-09-2566
การเกิดมาของชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง มันหมายความว่าอะไร?
เราคิดแต่ในทำนองที่ว่า เราเกิดมา ทุกข์เหลือเกิน และใครที่จะช่วยเรา ให้พ้นทุกข์นี้ได้
เราเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่า วิธีคิดทั้งหมดนี้ คือ ระยะทาง และกาลเวลา และเป็นมิจฉาทิฏฐิ
นี่คือวิธีคิดเบื้องแรกของมนุษย์เราทุกคน
แต่มันไม่ใช่แค่เราคิดคนเดียว คนอื่นก็คิดเหมือนกัน
และมีคนหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะพ้นทุกข์ ตั้งแต่การสร้างความบันเทิงในโลก จนมาถึงสร้างวิธีปฏิบัติธรรม นำเสนอให้กับบุคคลที่คิดเหมือน ๆ กัน
โดยที่ไม่มีใครเห็นเลยว่า โครงสร้างทั้งหมดของการคิดแบบนี้ อยู่ภายใต้ระยะทาง และกาลเวลา
ไม่ว่าผู้แนะนำ ผู้สอน จะพาคนคนนั้นไปถึงไหนก็ตาม ถึงที่ที่ทุกคนต้องการ หรือไม่ว่าจะมีคุณสมบัติอะไรก็ตาม ที่เรียกว่า “พ้นทุกข์” มันก็ยังเป็นมิจฉาทิฐิเหมือนเดิม
แต่เรานิยมกัน ที่จะถามว่า เดี๋ยวนี้เรายังเป็นอย่างนั้นอยู่มั้ย เดี๋ยวนี้เรายังมีนั่นอยู่มั้ย เดี๋ยวนี้เรายังกระเทือนมั้ย เดี๋ยวนี้ตัวตนเราหมดไปหรือยัง?
เราสนใจแค่ผลลัพธ์ซักอย่างหนึ่ง ที่กำลังบอกเราว่า ตัวเราเอง หรืออาจารย์ของเรา ไปถึงไหนแล้ว จบหรือยัง?
เราสนใจแต่เรื่องของผลลัพธ์แบบนั้น โดยที่เราไม่เคยเห็นโครงสร้างของวิธีคิดของคนเหล่านั้น ว่ามันยังอยู่ภายใต้มิจฉาทิฏฐิเหมือนเดิม
อย่าลืมที่ผมบอกว่า ธรรมะเป็นอกาลิโก มันไม่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา
มันไม่ใช่การประเมิน ตัดสิน โดยใช้ผลลัพธ์เป็นตัวตั้ง เป็นตัวหลัก
เพราะนั่นคือ วิธีคิดของโครงสร้างของกาลเวลา และอัตตาที่เป็นผู้ได้รับผลลัพธ์เหล่านั้น
การเปลี่ยนผ่านที่แท้จริง ไม่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา
ขณะของชีวิตที่ไปพ้นจากกาลเวลา นั่นคือการเปลี่ยนผ่านอย่างฉับพลัน นั่นคือการเปลี่ยนผ่านที่แท้จริง
มันคือคำสอนที่เราเคยได้ยินได้ฟังมาตลอด คือคำว่า “ปัจจุบัน” …ปัจจุบันที่ไม่ใช่เวลา
ปัจจุบันนี้หมายถึง ความสามารถในการเป็นอยู่ อย่างสมบูรณ์ที่สุดกับขณะนี้
ไม่ว่าขณะนี้จะเป็นความสงบ ความเงียบ หรือจะเป็นความโกรธ ความโลภ กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด อะไรก็ได้
ปัจจุบัน คือ ชีวิตที่มีความเป็นอยู่อย่างสมบูรณ์กับสิ่งเหล่านั้น ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ทั้งหมด
โดยไม่มีขณะของมิจฉาทิฏฐิที่อยากจะเปลี่ยนแปลง ไม่อยากเป็นแบบนี้ อยากเป็นแบบนั้น
ไม่มีขณะของมิจฉาทิฏฐิ ที่มักจะสร้างระยะทางและกาลเวลาให้เกิดขึ้น เข้ามาเกี่ยวข้องกับขณะนี้
นี่คือ “ปัจจุบัน”
และเมื่อไม่มีมิจฉาทิฏฐิ ที่อยากจะเปลี่ยนผ่าน เปลี่ยนแปลงมัน นัยยะนั่นหมายถึง “ความไม่มีเรา”
...
ชีวิตที่เป็นความจริงสูงสุด คือชีวิตที่ของคู่ ไม่สามารถจะมีน้ำหนักเข้ามาภายในจิตใจได้อีกต่อไป
ชีวิตจึงมีความสามารถที่จะเลื่อนไหลไปตามธรรมชาติ ด้วยความมีอิสรภาพสูงสุด ไร้ขีดจำกัดของมิจฉาทิฏฐิในเชิงของคู่
มันไม่ใช่ความหมายของคนคนนึงนิพพานแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มาเกิดอีกแล้ว
นั่นเป็นเรื่องที่จะเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิก็ได้ หรือจะเรียกว่า เป็นการใช้สมมติในการสอนคนก็ได้ แต่ถ้าเราเข้าใจผิด มันจะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ
มันเป็นแค่การที่สิ่งมีชีวิตนี้ ถูกปลดปล่อยจากมิจฉาทิฏฐิ และมีอิสรภาพ ตามธรรมชาติที่มันเป็น แค่นั้น
Camouflage
02-09-2566
Thursday Jan 04, 2024
341.ปิดประตูนั้นซะ...”วิถี” หรือ ”วิธี”
Thursday Jan 04, 2024
Thursday Jan 04, 2024
บรรยายเมื่อ 17-07-2564
เราอยู่ในยุคของโลกาภิวัตน์ เราในยุคของที่ทุกอย่างจะต้องลัด สั้น ตัดตรง เราอยู่ในยุคของที่ว่า วิธีการอะไรที่จะทำให้เราไปถึงจุดหมายได้เร็วที่สุด
เราพลาดอย่างหนักที่เราเข้าใจว่า ชีวิตนี้มันเป็นอะไรที่เร่งได้
เราไม่เข้าใจว่า ธรรมมะนั้นเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นเรื่องของชีวิตจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องของระบบอุตสาหกรรมเหมือนยุคโลกาภิวัตน์
ไอเดียของเราถูกหล่อหลอมมาในโครงสร้างของการที่ เราจะต้องเร็วที่สุด ดีที่สุด Effective ที่สุด
เราเติบโตมาในยุคแบบนั้น แล้วเราก็ใช้โครงสร้างนี้กับการปฏิบัติธรรมด้วย
แล้วพอดีว่าในยุคนี้ เป็นยุคที่สำนักส่วนใหญ่นำเสนอแบบนั้นให้เรา มันเหมือน supply กับ demand มาพร้อมกันพอดี
วิถีชีวิตจริง ๆ ที่เรียกว่า “วิถีธรรม” มันหายไป
“วิถี” กับ “วิธี” มันไม่เหมือนกัน
“วิถี” มันใช้เวลา ใช้กระบวนการขัดเกลาตามธรรมชาติอย่างแท้จริง
ส่วน “วิธี” มันเป็นระบบอุตสาหกรรม มันเหมือนเราเป็นของชิ้นนึง เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่ง เราปฏิบัติธรรมเหมือนชีวิตของเราเป็นสิ่งของอันหนึ่ง นี่ผมเปรียบเทียบนะ
มันเป็นความประจวบเหมาะมาก ที่ “วิถีธรรม” นั้นหายไป เพราะครูบาอาจารย์เก่า ๆ หายไปหมดแล้ว ตายไปหมดแล้ว
มันกลายเป็น “วิธีทำ” แทน
แล้วเราซื้อ เราเอา เพราะมันตรงกับกระบวนการหล่อหลอมเราขึ้นมา เราโตขึ้นมาในยุคนี้พอดี และสังคมเชิดชูกับกระบวนการแบบนี้
กระบวนการที่เร็ว ตรง ได้ผลชัดเจน วัดผลได้ เราเติบโตขึ้นมากับความครอบงำแบบนั้น
และเสียงที่เป็นวิถีธรรม หรือเสียงของวิถีการใช้ชีวิต มันหายไป
เสียงของการที่เราต้องใช้ทั้งชีวิต ใช้ธรรมชาติขัดเกลาชีวิตนี้ เรียนรู้ชีวิตนี้ หายไป
ไม่มีใครพร้อมจะเสียสละเวลาของตัวเอง ที่จะเรียนรู้ตัวเองจริง ๆ ทุกคนขอวิธี
นี่คือโครงสร้างใหญ่ที่ผมบอกว่า ตอนนี้เราพึ่งพิงกับ “คอร์สปฏิบัติธรรม” และเราพึ่งพิงกับ “วิธี” ที่เราสรรหาได้ ที่เราเชื่อว่าดีที่สุด เราพึ่งพิงกับแค่ 2 อย่างนี้ สำหรับนักปฏิบัติธรรมในยุคนี้
แต่สิ่งที่เราขาดที่สุดคือ วิถีธรรมมะ วิถีชีวิต การใช้ชีวิตจริง ๆ
เราขาดสิ่งที่สำคัญที่สุด เราขาดกระบวนการธรรมชาติที่สำคัญที่สุด
เราเลยตกอยู่ในหล่มของทั้งหมดที่ผมพูดถึง นั่นคือ ความเป็นเรา
เพราะแนวคิดของการพึ่งพิงทั้ง 2 อย่างนี้
เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่เข้าใจโครงสร้างของกระบวนการทั้งหมดที่เราเชื่อ และผมไปบอกว่านี่ไม่ถูกนะ ตรงนั้นไม่ถูกนะ ตรงนี้ไม่ถูก ผมบอกปลาย ๆ แต่หัวหรือก้อนของความเชื่อนี้ ยังอยู่เหมือนเดิม มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
#Camouflage
17-07-2564
Friday Dec 29, 2023
340.เห็น DNA ของกระบวนการ
Friday Dec 29, 2023
Friday Dec 29, 2023
บรรยายเมื่อ 19-08-2566
เวลาเราทำอะไร เราต้องแจ่มแจ้งว่า เรากำลังทำอย่างนี้ทำไม?
เราต้องแจ่มแจ้งว่า การกระทำอย่างนี้ มันมีนัยยะอะไร?
เช่น เรากำลังไถมือถืออยู่ หรือกำลังหาอะไรดูอยู่ นั่นคือ เราต้องรู้ว่า นัยยะของมันคือ เราต้องการหนีจากตัวเอง
แต่เราไม่เคยรู้
เราเป็นนักปฏิบัติธรรม ที่ถูกสอนมาว่า รู้สึกอยู่ ไม่เข้าไปในเรื่องราว มีอารมณ์ความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น ก็รู้อยู่
แต่เราไม่รู้โครงสร้างใหญ่ที่สุด คือ #เรากำลังหนีตัวเอง
ชีวิตของเรานี้เป็นธรรมะอยู่แล้ว แต่เราเห็นความจริงจากมันมั้ย?
ที่ผมบอกว่า กระบวนการสำคัญกว่าผลลัพธ์ คือเราเห็นนัยยะของกระบวนการทั้งหมดนี้มั้ยว่า ความจริงของมันคืออะไร
เหมือนเราถอด DNA หรือวิญญาณของกระบวนการนั้นทั้งหมด ว่ามันคืออะไร ไม่ได้เห็นด้วยตา หรือด้วยความคิด แต่เห็นด้วยชีวิตนั้นเอง
...
ที่เรากลัวว่า เราจะจมทุกข์
เราต้องรู้ว่า #ความจมทุกข์ เกิดขึ้นได้ยังไง
ความจมทุกข์ สามารถยั่งยืนอยู่ได้ เพราะหัวใจต้องการจะไม่จมทุกข์
มันคือของสิ่งเดียวกัน
แต่ถ้าเราเห็นโครงสร้างของความคิด โครงสร้างของหัวใจที่เป็นความหลงผิด มันจะเป็นการออกจากทุกข์โดยอัติโนมัติ
แม้ว่ากลิ่นอายของความหดหู่หรือความทุกข์นั้น ยังอยู่ก็ตาม แต่มันจะ…แค่นั้น มันแค่ยังอยู่เฉย ๆ
มันจึงเป็นการอยู่กับอารมณ์อย่างเป็นหนึ่งเดียว โดยที่เป็นความนิ่งอยู่
แม้ว่าจะทุกข์เหมือนจมทุกข์ แต่ว่ามันนิ่ง มันไม่ฟูมฟาย ไม่ตีโพยตีพาย ไม่หนี ไม่สู้ มันแค่เป็นอย่างนั้นเฉย ๆ
#Camouflage
19-08-2566
Sunday Dec 24, 2023
339.น้ำพุแห่งปัญญา
Sunday Dec 24, 2023
Sunday Dec 24, 2023
บรรยายเมื่อ 19-08-2566
การปฏิบัติธรรมจะเกิดขึ้น เมื่อหัวใจนั้น มีอิสรภาพอย่างยิ่งจากความรู้ทั้งหมดที่เราเคยเรียนรู้มา
และกระบวนการของชีวิต Process นี้ คือจุดเริ่มต้น และคือจุดสุดท้าย
ผลลัพธ์ที่เราถวิลหาในการปฏิบัติธรรม ไม่มีความสำคัญเลย
ความสำคัญอยู่ที่กระบวนการที่ผมพูดนี้ทั้งหมด ไม่ใช่ผลลัพธ์
เราต้องตระหนักชัดว่า การปฏิบัติธรรมทั้งหมด ที่เราเคยทำมา เป็นแค่การเวียนว่ายอยู่ในทะเลแห่งความหลง
และการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงจะเกิดขึ้น เมื่อเราพ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง
ความรู้ ความคิด วิธีการปฏิบัติทั้งหมด คือ ความปรุงแต่งของเราเอง
#Camouflage
19-08-2566
Friday Dec 15, 2023
338.ความเชื่อ
Friday Dec 15, 2023
Friday Dec 15, 2023
บรรยายเมื่อ 11-07-2564
การปฏิบัติธรรม คือ กระบวนการที่เราจะเข้าใจชีวิตนี้ อย่างแท้จริง
เราไม่รู้จักว่า ความขับดันที่แท้จริง ในความอยากจะคิด คืออะไร
เราได้แต่คิดว่า มันไปคิด ก็รู้ทัน และครูบาอาจารย์ท่านก็สอนว่า อย่าเข้าไปในความคิด
มันเหมือนเราทำตาม Protocol หรือวิธีการเฉย ๆ แต่เราไม่รู้ว่า
ทำไมเราต้องทำแบบนี้?
ทำไมเราไว้ใจว่า วิธีนี้ถูก?
ทำไมเราไว้ใจว่า นี่คือสิ่งที่ต้องทำ?
ทำไมความคิดถึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเข้าไป?
ผู้ฟัง : เพราะมันไม่ใช่ปัจจุบัน มันปรุงแต่ง?
อาจารย์ : ปัจจุบัน นี่คือ ทฤษฎีใช่มั้ย? เราเชื่อทฤษฎีใช่มั้ย? เราไม่เคยรู้ว่าทำไมต้องเป็นปัจจุบันใช่มั้ย?
ผู้ฟัง : ใช่เพราะเป็นทฤษฎี และเป็นเพราะอาจารย์บอก
อาจารย์ : เข้าใจรึยังว่า เราเป็นแค่นักเรียนดีเด่นเฉย ๆ เราทำตามที่อาจารย์บอก แต่เราไม่รู้ว่าทำไม
ถ้าเราไม่เข้าใจว่า กระบวนทั้งหมด มันเกิดขึ้นจนเป็นคำสอนได้ยังไง นั่นเท่ากับว่าเราไม่เข้าใจ เราได้แต่ทำตามทฤษฎี โดยมีเหตุผลอันเดียวที่เราทำ คือ “เราเชื่อ”
เราจะต้องตระหนักลึกซึ้งถึงสิ่งที่เราทำอยู่ว่า มันเป็นยังไง ทำไมเราถึงไม่ต้องเข้าไปในความคิด
พอรู้แล้วว่า ทำไมเราไม่ควรเข้าไปในความคิด
แล้วทำไมมันยังคิด?
ทำไมเราถึงยังอยากจะคิดกับมัน?
ทำไมถึงมีความอยากหรือความขับดันอันนั้นอยู่?
เราต้องตอบตัวเองได้ ไม่ใช่แค่เราปฏิบัติตาม
การปฏิบัติธรรมนั้น มันไม่ใช่แค่ เรามาเอาวิธีไปทำ แล้วก็เชื่อในวิธีนั้น
เราต้องสำรวจชีวิตนี้ ด้วยตัวเราเอง
ว่าความคิดทำให้เกิดอะไรขึ้น?
การเข้าไปในความคิดเป็นยังไง?
ทำไมเราต้องอยู่กับปัจจุบัน?
ทำไมความคิดไม่ใช่ความจริง?
เวลาเราคิดว่า เราจะซื้อของจากช้อปปี้ แล้วเราได้ของจริง ๆ มั้ย?
เราคิดถึงเพื่อน แล้วเพื่อนเรามีอยู่จริงมั้ย?
ทฤษฎีเป็นความคิดมั้ย?
เราบอกว่า ความคิดเป็นสิ่งไม่จริง
แต่ทฤษฎีก็คือ ความคิด ถูกมั้ย?
ตกลง ทฤษฎีนั้น จริง หรือไม่จริง?
สรุป เราจะทำยังไง?
การที่เราปฏิบัติอะไรก็ตาม ตามความเชื่อที่เราไม่เข้าใจด้วยตัวเอง มันก็ยังเป็นความเชื่อเหมือนเดิม
มันเป็นการปฏิบัติภายใต้ความคิด ทฤษฎีที่ชี้นำ
เราไม่ได้เข้าใจกระบวนการของชีวิตจริง ๆ ว่าทำไมทุกข์ แล้วมันทุกข์เพราะอะไร
นี่คือกระบวนการที่เราจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง จากคำถามที่ผมถาม เราต้องพิจารณาด้วยตัวเราเอง
...
ก่อนที่จะไปถึงวิธีปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าหรืออาจารย์บอก เราต้องเข้าใจก่อนว่า กระบวนการทั้งหมดของชีวิตจริง ๆ นี้ มันเป็นยังไง เราถึงจะสามารถเข้าใจแจ่มแจ้งว่า ทำไมครูบาอาจารย์ถึงบอกวิธีการปฏิบัติแบบนั้น
แต่เรายังไม่เข้าใจชีวิตนี้ เราแค่เชื่อว่า อันนี้มันดี เราจึงทำ
จิ๊กซอว์มันไม่ครบ ความเข้าใจชีวิตนี้ มันหายไป...ของจริง ๆ มันหายไป
ของจริง ๆ ที่พระพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์ ท่านเข้าใจ แต่เราไม่มี
ท่านเข้าใจชีวิตนี้แล้ว แล้วท่านจึงถ่ายทอดออกมาเป็นกระบวนการการปฏิบัติ
แต่เราไปอยู่ที่วิธี เพื่อจะได้เข้าใจชีวิต
นึกออกมั้ยว่า เราทำกลับข้างกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ทำ
เราขาดจิ๊กซอว์ที่สำคัญ คือ กระบวนการที่ก่อให้เกิดวิธีปฏิบัติ
...
วิธีปฏิบัติจะคลอดออกมาจากการใช้ชีวิต และการเข้าใจชีวิตนี้ แล้วเราจะปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ถูกแก่นของวิธีปฏิบัตินั้น
ถ้าเราไม่เข้าใจชีวิต เราจะไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติธรรม
เราจะได้แต่วิธีในแบบ...เหมือนเราได้มาม่า แต่ไม่มีน้ำเดือดที่จะต้มมัน
...
เข้าใจตัวเอง
เราไม่สามารถหาความเข้าใจตัวเองได้จากพระไตรปิฏก ถามเพื่อน หรือใครบอกเรา
นั่นจะเป็นแค่บทสรุปทางความคิดของเค้า เข้ามาสู่บทสรุปทางความคิดของเรา
แต่เราไม่เคยเข้าใจจริง ๆ เราไม่เคยเผชิญกับมันจริง ๆ
เผชิญกับมันจริง ๆ คือหน้าที่ของชาวพุทธทุกคน ไม่ใช่เข้าคอร์ส
#Camouflage
11-07-2564
Monday Dec 11, 2023
337.สัญญาณจากพระพุทธเจ้า
Monday Dec 11, 2023
Monday Dec 11, 2023
บรรยายเมื่อ 05-08-2566
สัญญาณแรกที่พระพุทธเจ้าได้พูดกับตัวเองคือ ธรรมะนั้นอยู่นอกเหนือคำพูด อยู่เหนือการอธิบายใด ๆ จึงยากที่จะหยิบนำมาสอนได้
นัยยะคือ ท่านใช้ชีวิตทั้งชีวิตของท่าน ค้นพบธรรมะ
ในขณะที่เราใช้ชีวิตทั้งชีวิตของเรา ทำตามความเชื่อ และความคิด
เราหนีไม่พ้นกับการหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเอง ที่จะพ้นทุกข์ และความหมกมุ่นนั้นเอง คือความปรุงแต่ง คือความคิด
และเราใช้ความคิด หาวิธีการที่จะทำตาม และนั่นก็คือความคิดเหมือนเดิม
และทั้งหมดของชีวิตเรา ไปไหนไม่ได้ นอกจากแค่อยู่ภายใต้ความคิด
...
ชีวิตของคนเรานั้น รับข้อมูลข่าวสาร รวมกระทั่งถึงวิธีปฏิบัติธรรม
สิ่งที่เราทำมาตลอดชีวิตของเราคือ เลือก ทำตาม และไม่ทำอีกอย่างหนึ่ง
เพราะข้อมูลข่าวสารหรือแม้กระทั่งวิธีปฏิบัติธรรมทั้งหมดนั้น เป็นข้อมูลข่าวสารแห่งความแบ่งแยก
และเราใช้ชีวิตนั้น เราใช้ชีวิตที่จะเลือกข้าง ทำตามสักอย่าง ปฏิเสธสักอย่าง ชื่นชมสักอย่าง ประณามสักอย่าง
เราหลงกลอยู่ภายใต้โครงสร้างของความแบ่งแยกตั้งแต่โลก ยันมาถึงการปฏิบัติธรรม
ชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมคืออะไร?
คือ ความสามารถในการเห็นอิทธิพลของข้อมูลข่าวสารหรือวิธีการปฏิบัติธรรมทั้งหมด ว่ากำลังส่งผลให้ชีวิตเกิดทิศทางหรือไอเดียอะไรบ้าง ที่กำลังจะบีบคั้นชีวิตนี้ต่อไป เพื่อจะไปถึงที่สักที่หนึ่ง ที่ความคิดเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง หรือแม้กระทั่งนิพพาน
ชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมนั้นคือ ชีวิตที่มีความสามารถในการเห็น มีความสามารถในการแจ่มแจ้ง ไม่ใช่มีความสามารถจะไปถึงที่ที่หนึ่ง ที่ความคิด ฟัง อ่านหรือวิเคราะห์แล้ว ว่าถูกต้องดีงาม แล้วจะไปถึงที่นั่น
เพราะฉะนั้น ชีวิตการปฏิบัติธรรมของคนในโลกนี้ ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม
เป็นชีวิตที่หลงผิดอยู่ในความมืดสีขาว แค่นั้น
#Camouflage
08-05-2566
Sunday Dec 03, 2023
336.องคาพยพแห่งความลวง
Sunday Dec 03, 2023
Sunday Dec 03, 2023
บรรยายเมื่อ 22-07-2566
ความตระหนักชัดในความเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหมดของชีวิตนี้ นั่นคือขณะของการเห็นแจ้ง
ขณะของการเห็นแจ้ง หรือที่เราเรียกว่า Enlighten ไม่ได้เกิดขึ้นจากการพิจารณาหาเหตุผล คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล และได้ผลลัพธ์มาอันนึง ว่าตรงกับที่อาจารย์บอก
ความรู้สึกของการเห็นแจ้ง เป็นความรู้สึกที่มนุษย์คนหนึ่ง รู้ได้เฉพาะตัวเอง
เป็นขณะของความแจ่มแจ้งโดยฉับพลัน
และไม่ต้องการเหตุผลทางความคิดใด ๆ มารับรองความรู้สึกของความแจ่มแจ้งนี้
และมันไม่ได้ให้ความรู้สึกกับคนคนนึงว่า เราได้กลายเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว
เป็นแค่ความรู้สึกตรงตัว คือ แจ่มแจ้ง Enlighten
เพราะฉะนั้น การมาฟังผมจึงไม่ใช่การรับวิธีปฏิบัติไปทำ เพื่อเราจะได้อะไร ตามที่เราคิดและคาดหวังเอาไว้
เราแค่จะได้ซึมซับจิตวิญญาณของความใส่ใจต่อชีวิตนี้ ของความแจ่มแจ้งต่อความมีอยู่ เป็นอยู่ของชีวิตนี้ จากคำสอนต่าง ๆ ของผม แค่นั้น
คำสอนต่าง ๆ ของผมนั้น ไม่ใช่วิธีที่จะนำไปปฏิบัติ ผมแค่ปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นจากความหลงผิดทุกอย่าง ทุกแง่ทุกมุมที่ผมจะอธิบายออกมาได้
และความใส่ใจต่อทุกกิริยาของชีวิต ทุกวิธีคิดและการกระทำ คือประตู สู่ความรู้แจ้ง คือการปลุกชีวิตนี้ ให้ตื่นขึ้นมา
และเราต้องเป็นคนปลุกมันขึ้นมาด้วยตัวเราเอง
ผมเป็นแค่คนชี้ช่อง ชี้ทาง
ส่วนการที่คนฟังจะตื่นขึ้นมานั้น เราจะต้องใส่ใจต่อช่องและทาง ที่ผมชี้ลงไปนั้น ว่ามันคืออะไร
#Camouflage
22-07-2566
Thursday Nov 23, 2023
335.ทิ้งกาย ทิ้งจิต
Thursday Nov 23, 2023
Thursday Nov 23, 2023
บรรยายเมื่อ 08-07-2566
ถ้าเราต้องการที่จะไปถึงความรู้สึกของการทิ้งกาย มันไม่มีอะไรต้องทำเหมือนที่เราเคยทำเมื่อก่อนนี้ หรือที่เราเคยคิดว่ามันต้องทำแบบนั้นแบบนี้
มันมีแค่อย่างเดียวในชีวิตของเรา คือ ความแจ่มแจ้งในความเป็นอยู่ทั้งหมดในขณะนี้
และชีวิตของเราไม่มีอะไรมาก นอกจากความดิ้นรนบีบคั้นที่จะหนีความทุกข์ แล้วก็หาความสุข
และความรู้สึกที่เป็นอยู่กับชีวิตของเราในแต่ละขณะ ในทุก ๆ วัน นั่นคือ กุญแจที่จะเปิดประตูไปสู่การทิ้งกาย
และการทิ้งกายนี้ ไม่ใช่เราทิ้งกาย ไม่ใช่ “เรา” ทิ้ง และมันก็ไม่ใช่คำว่า “ทิ้ง” ด้วย เพราะไม่อย่างนั้นพระอรหันต์ก็คงไม่ต้องกินข้าว อาบน้ำ หาหมอ
มันไม่ใช่การถึงจุดหมายบางอย่าง ที่ในเชิงว่า อ้อ เดี๋ยวนี้เราทิ้งกายแล้ว
เราเข้าใจไหมว่า “เราทิ้งกายแล้ว” คือการถึงจุดหมายบางอย่าง สำเร็จแล้ว
แล้วเป็นยังไงต่อ? ตัดสินตัวเองเรียบร้อยว่า เราเป็นพระอนาคามีแล้ว
ความแจ่มแจ้งในชีวิตนั้น ไม่ใช่การถึงปลายทาง หรือประสบความสำเร็จ
แต่เป็นความแจ่มแจ้งในเหตุปัจจัยว่า เพราะอย่างนี้ จึงเป็นอย่างนี้ เพราะมีอย่างนี้ จึงมีอย่างนี้
เพราะแจ่มแจ้งในความสุข แจ่มแจ้งในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์
ความหลงในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจในเชิงของความเห็นผิด หรืออวิชชา มันก็จบสิ้นลง
มันเป็นเรื่องความแจ่มแจ้งในเหตุปัจจัยของชีวิตนี้ แค่นั้น
ไม่มีใครไปถึงที่หมายอะไรทั้งนั้น ไม่มีใครประสบความสำเร็จอะไรทั้งนั้น
#Camouflage
08-07-2566
Tuesday Nov 21, 2023
334.ชีวิตนี้เป็นจริงและไม่จริง ได้ยังไง
Tuesday Nov 21, 2023
Tuesday Nov 21, 2023
บรรยายเมื่อ 13-05-2566
Monday Nov 20, 2023
Friday Nov 17, 2023
Saturday Nov 11, 2023
331.ที่มาของกิเลส
Saturday Nov 11, 2023
Saturday Nov 11, 2023
บรรยายเมื่อ 24-06-2566
ที่มาที่สำคัญที่สุดของกิเลส คือ ความสุข
และเมื่อความสุขมีปัญหา นักปฏิบัติธรรมก็เลือกที่จะไม่ทำทั้งหมด
เราตีปัญหาได้ตื้นเขินมาก เราแก้ปัญหาด้วยวิธีกำปั้นทุบดิน
หรือแม้กระทั่งเราทำตามวิธีปฏิบัติที่แพร่หลายกันอยู่ แต่มันก็ไม่พ้นว่า หัวใจนี้มีปัญหากับความสุข ความสุขกลายเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะรู้สึกว่ามันเป็นที่มาของกิเลส
จะเห็นว่าเราเจอกับดักของความแบ่งแยกตลอดทาง และกับดักนั้นใช้ได้ผลเสมอ เพราะคนเรานั้นไม่ค่อยมีปัญญา
เพราะฉะนั้น เมื่อเราเจอว่า ความสุขคือที่มาของกิเลส หน้าที่เรา ที่จะปฏิบัติต่อสิ่งที่เรียกว่าความสุขนั้น คือ แจ่มแจ้งลงไปที่ความสุข ว่ามันคืออะไรกันแน่
ความสุขคำนี้ เป็นแค่บทสรุปทางความคิด ของการรวมกันของผัสสะในทุกอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ความแจ่มแจ้งในสิ่งทั้งหมดที่เรียกว่าความสุข คือการทำลายความเห็นผิด ทำลายการเห็นอย่างผิวเผิน อย่างตื้นเขิน ต่อผัสสะที่น่าพอใจ หรือที่ทนได้ง่าย
บทสรุปในเชิงของความสุขเคลือบการรวมกันอยู่ของมัน ด้วยความเห็นผิด
และเมื่อความแจ่มแจ้งต่อความสุขเกิดขึ้น ชีวิตก็ไม่มีความสุข...มันก็ไม่เชิงแบบนั้น แต่การถ่ายทอดทางภาษามันจำกัด ความสุขที่ผมพูดถึงนี้ ผมพูดถึงความสุขใน part ของความเห็นผิด
เมื่อแจ่มแจ้งความสุขใน part ของความเห็นผิดแล้ว ชีวิตก็จะไม่สามารถจะมีความสุขในแบบนั้นได้อีก
แล้วเมื่อความสุขใน part ความเห็นผิดแบบนั้น ถูกกระจ่างแจ้ง และหมดซึ่งความหลงผิดต่อผัสสะต่าง ๆ ในเชิงของความสุขแบบนั้น
กิเลสต่าง ๆ ที่เคยเป็นปัญหากับชีวิต มันก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ เพราะที่มาของมันนั้นได้สลายไปแล้ว
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมที่ผมพูดอยู่เสมอว่า มันเป็นแค่ความแจ่มแจ้งความเป็นทั้งหมดของชีวิตนี้อย่างลึกซึ้ง
ไม่ใช่ปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติอย่างซื่อบื้อ กำปั้นทุบดิน เพราะนั้นรังแต่จะทำให้ชีวิตการปฏิบัติธรรมของเรานั้นมืดมิดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว จะมีครูบาอาจารย์ที่ดีระดับพระพระพุทธเจ้ามาสอน เราก็จะสามารถทำคำสอนนั้นให้พังพินาศได้ด้วยฝีมือของเราเอง
#Camouflage
Friday Oct 27, 2023
330.ความเมตตา
Friday Oct 27, 2023
Friday Oct 27, 2023
บรรยายเมื่อ 10-06-2566
ความเมตตาในความหมายของมนุษย์เรา แท้จริงเป็นแค่ชื่อ
เราตั้งชื่อให้กับปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบของการให้การช่วยเหลือ ว่า “เมตตา”
แต่ “เมตตาที่แท้จริง” คืออะไร?
คือความเข้าใจว่า ชีวิตนี้นั้น เป็นแหล่งกำเนิด และเป็นทางผ่านขององค์ความรู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้
ชีวิตนี้ เป็นแค่แหล่งข้อมูลข่าวสารต่อจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้
การที่ชีวิตชีวิตหนึ่งมีความสามารถ ที่จะส่งผ่านการกระทบกระเทือน อารมณ์ ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้น ส่งผ่านสิ่งเหล่านั้นอย่างบริสุทธิ์ โดยที่ไม่มีใครสักคนหนึ่งบิดเบือนมัน ไม่มีใครสักคนหนึ่งต้องการจัดการอะไรเกี่ยวกับมัน
...
ฟังธรรมะที่เกี่ยวข้องกับปัญญามาก ๆ ก็ต้องระวังไม่ให้ปัญญามันเกินหน้าความจริงของจิตใจ ที่มันจะต้องทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ
เช่น ถ้ามีความรู้สึกผิดเกิดขึ้น เราจะต้องลงลึกลงไปที่นั่น ไม่ใช่รีบใช้ทฤษฎีในเชิงของปัญญามากลบความรู้สึกผิดนั้น
แต่จะต้องลงไปที่นั่น ลงไปที่ความรู้สึกผิดนั้น ว่ามันคืออะไร มันเกิดขึ้นยังไง มันมาจากไหน?
ไอเดียต่าง ๆ จะเกิดขึ้นมากมาย เช่น เราไม่ควรจะรู้สึกผิดมั้ย หรือการที่มีความรู้สึกผิด ก็ถูกแล้ว?
ความคิดจะรุมเข้ามาในชีวิตของเราขณะนั้น และเรามีหน้าที่ที่จะต้องเข้าใจทุกย่างก้าวของความคิด ว่ามันคืออะไร ความคิดนี้มาได้ยังไง?
และความคิดจะบอกให้เราไปที่ไหนสักที่หนึ่งเหมือนกัน แล้วเราก็ต้องเข้าใจว่า มันจะพาเราไปที่นั่น เพราะอะไร?
ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา คือ องค์ความรู้อันยิ่งใหญ่ต่อจักรวาลนี้
และความแจ่มแจ้งที่เกิดขึ้น ต่อทุกอารมณ์ความรู้สึก และความคิดที่เกิดขึ้น คือ การส่งผ่านความรัก และความเมตตาต่อจักรวาลนี้
เพราะฉะนั้น ชีวิตคนคนนึงจะเป็นความเมตตาอันสูงสุดได้นั้น จะต้องมีปัญญาอย่างยิ่งที่จะเข้าใจความมีอยู่ และการเกิดขึ้นมาของชีวิตนี้อย่างแจ่มแจ้ง
#Camouflage
10-06-2566
Tuesday Oct 17, 2023
329.เมื่อผู้รู้และผู้หลง รวมกันเป็นหนึ่ง
Tuesday Oct 17, 2023
Tuesday Oct 17, 2023
บรรยายเมื่อ 27-05-2566
วิธีการปฏิบัติธรรม ที่ผมเรียกว่า การถอยกลับ และการแจ่มแจ้ง รู้จักตัวเองนั้น เป็นกระบวนการที่ชีวิตนี้มีอยู่แล้ว ทำได้อยู่แล้ว
แต่ปัญหา คือ เราไม่เคยถอยกลับ เรามีแต่เดินหน้า และทำให้ฟังก์ชั่นที่ชีวิตของมนุษย์มีอยู่แล้วนั้น ไม่ได้ทำงาน
เราเดินหน้า แม้กระทั่งเรื่องนินทาคนอื่น เวลาเรานินทาคนอื่น เรารู้จักเค้าดี ยิ่งกว่าพ่อแม่เค้าอีก เราเป็นกูรูในด้านการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเลย
มีใครสอนเรื่องแบบนี้ให้เรามั้ย? ทุกคนตอบได้เลยว่า ไม่ต้องสอน แค่มองปร๊าดเดียว ก็รู้แล้วว่าคนนี้นิสัยเป็นอย่างไร
แต่มองตัวเอง ไม่เคยรู้เลยซักอย่าง ทั้ง ๆ ที่มันใช้กลไกเดียวกัน มันใช้วิธีเดียวกัน มันมีอยู่แล้ว
แต่การเห็นตัวเอง มันยาก
คำว่า ยาก กับ กลไกที่มีอยู่แล้วในชีวิต ไม่เหมือนกัน
ชีวิตนี้มีเครื่องมืออยู่แล้ว แต่มันยาก ง่าย สำหรับคนแต่ละคน ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับปัญญา ความใส่ใจ ความเพียร ความไม่หนี ความกล้าหาญ ความเป็นกลาง
ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่เราพยายามจะฝึกให้มี
แต่สิ่งเหล่านี้ ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือ สติ สมาธิ ปัญญา มันไม่ได้เกิดขึ้นจากการฝึกให้มี
แต่มันคือ ผลผลิตจากการถอยกลับเข้าไปในชีวิต และแจ่มแจ้งกับชีวิตนี้
มันคือสิ่ง ๆ เดียวกันในกลไกนี้
เครื่องมือนี้ประกอบด้วย สติ สมาธิ และปัญญา อย่างแบ่งแยกไม่ได้
แต่เราไปผลิตสิ่งเหล่านั้น ขึ้นมาด้วยตัวเราเอง ซึ่งมันเหมือนของก๊อปเกรดเอที่เซินเจิ้นเฉยๆ
เพราะฉะนั้น ให้เราเข้าใจการ Approach ที่ถูกต้อง แล้วเราถึงจะรู้จักว่า วิธีปฏิบัติธรรมคืออะไรกันแน่
แล้วเราจึงจะเข้าใจว่า สิ่งที่เราอยากจะฝึกทั้งหมด สิ่งที่เราอยากจะมีทั้งหมด ตั้งแต่ศีล สติ สมาธิ ปัญญา หรือกระทั่งความหลุดพ้น หรือแม้กระทั่งชีวิตที่เป็นปัจจุบัน
มันเกิดขึ้นจากที่นี่ มันเป็นผลผลิตจากความแจ่มแจ้ง หรือพูดได้ว่า มันคือ สิ่ง ๆ เดียวกันกับความแจ่มแจ้ง
#Camouflage
27-05-2566