Episodes
Friday May 12, 2023
313.เรายังไม่รู้จัก...ความตื่น
Friday May 12, 2023
Friday May 12, 2023
บรรยายเมื่อ 01-10-2565
ถ้าผมยกตัวอย่างให้เราพิจารณาว่า เมื่อกิเลสเกิดขึ้น ความอยากเกิดขึ้น ความโกรธเกิดขึ้น เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราบ้าง? ให้พวกเราลองคิดดูตอนนี้
ทันที เราอาจจะมีไอเดียบางอย่างต่อกิเลสนั้น ต่อความอยากนั้น เช่น เรามีความเป็นนักปฏิบัติธรรมอยู่ เรารู้สึกแย่กับกิเลสที่เกิดขึ้น แล้วเราพยายามจะทำอะไรบางอย่าง
เรามีไอเดียว่า เราจะไม่ทำตามกิเลสนั้น แต่การไม่ทำตามกิเลสนั้น มาจากไอเดียไหนอีกทีนึง?
มันมีอีกความคิดหนึ่งกำลังบอกเราว่า การตามกิเลสนั้น มันไม่ใช่ทาง การตามกิเลสนั้น มันไม่ดี
มันมีไอเดียบางอย่างกำลังบอกเรา กำลังสอนเรา กำลังแนะนำเรา
และหลังจากนั้น เราพยายามทำตามนั้น ทำตามคำแนะนำของอีกความคิดหนึ่ง
และสุดท้ายกิเลสก็ดับไป เพราะมันไม่เที่ยง แล้วเราก็พบว่า นี่คือ “ทาง”
เพราะฉะนั้น ทางทั้งหมดที่เรา “เชื่อว่าคือทาง” เกิดขึ้นจากความคิดเท่านั้น เกิดขึ้นจากความเชื่อ ข้อมูล และมันให้ผลได้จริง
แต่ที่ผมพยายามจะบอกก็คือ #เราเห็นชีวิตนั้นอยู่ภายใต้ความครอบงำของความคิด ซ้อนความคิด ซ้อนความคิด ตลอดเวลาไหม? แม้ว่ามันจะดีก็ตาม
การปฏิบัติธรรมอยู่ที่ไหนกันแน่?
…อยู่ที่ความสามารถที่คนคนนึงจะไม่ทำตามกิเลส
…หรือว่าเห็นกิเลสมันดับไป
…หรือว่าคนคนนึงสามารถที่จะเห็นระบบของความคิดทั้งหมดแต่ละอัน ที่คอยควบคุมชีวิตนี้อยู่
และการปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่ #อยู่ที่การตื่นขึ้นมาเห็นระบบของความคิดทั้งหมดที่ควบคุมชีวิตนี้อยู่ แม้ว่าระบบความคิดนั้น คือระบบความคิดของการปฏิบัติธรรมก็ตาม
ถ้าเราไม่มีความสามารถที่จะเห็นความซับซ้อนของชีวิต โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความคิด เราจะไม่มีวันที่จะตื่นขึ้นมาเลย เราจะเป็นได้แค่คนดีเฉยๆ
และที่เรารู้กันเสมอว่า คนดีก็คือ คนที่หลอกง่ายที่สุด ไม่ต้องผมบอก ประวัติศาสตร์มนุษยชาติก็บอกอยู่แล้ว
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ชาวพุทธเราถูกหลอกง่าย เพราะนิยามของชาวพุทธเรา คือ “คนดี” “ไม่ใช่คนที่ตื่นขึ้นมา” แบบที่พระพุทธเจ้าสอน
เพราะฉะนั้น ไม่มีใครบิดเบือนสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ได้มากเท่าชาวพุทธกันเอง
เราไม่สร้างบรรยากาศของการ #ตื่นรู้
เราลุ่มหลงอยู่ในบรรยากาศของ #ดี
#Camouflage
01-10-2565
Friday May 05, 2023
312.ทั้งหมดที่เราทำ...มันปลอม
Friday May 05, 2023
Friday May 05, 2023
บรรยายเมื่อ 19-07-2565
เมื่อเราเข้าใจแจ่มแจ้งต่อชีวิตนี้ เข้าใจแง่มุมต่างๆ ของมัน
ทุกอย่างที่ผมเคยพูดถึงไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ความสุข ความทุกข์ ความเชื่อ ไอเดีย ทิฏฐิ การตัดสิน เมื่อเราเข้าใจแจ่มแจ้งในทั้งหมดนี้ รู้ว่าอะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์ รู้ว่าความสุขจะมีเงาตามตัวมัน คือความทุกข์ หรือแม้กระทั่งรู้ว่านัยยะของความสุขนั้น แท้จริงเป็นแค่ผัสสะ มันไม่ใช่ความสุข เป็นแค่การกระทบผัสสะเฉยๆ
ชีวิตนั้นจะหดกลับ เป็นเหมือนชีวิตที่เราต้องการในตอนแรก (ของการมาปฏิบัติธรรม) เช่น เป็นคนไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นคนมีศีล เป็นคนมีสัมมาสติ หรืออะไรก็ตามที่เราอยากจะเป็นในตอนแรก แล้วเราอยากจะทำให้มันมีขึ้นในชีวิตของเรา
#ทั้งหมดนั้นเป็นผล...เป็นผลจากการใช้ชีวิต แจ่มแจ้งในชีวิตนี้
ไม่ใช่เอาอัตตาสร้างมันขึ้นมา
ไม่ใช่เอาอัตตาถือมันเอาไว้
ไม่ใช่ใช้อัตตาพยายามจะมีสิ่งเหล่านั้น
เพราะทั้งหมดนั้น #มันเป็นของปลอม Fake
และเมื่อฟังผมแบบนี้ ก็ไม่ใช่คิด หรือสร้างภาพขึ้นมาแล้วว่า ถ้าใช้ชีวิตเสร็จปุ๊บแล้ว เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว เราจะเป็นพระอรหันต์ นั่นแปลว่าเราจะมีคุณสมบัตินี่ๆๆๆ ไม่ใช่เรื่องแบบนั้น
#ชีวิตที่แท้จริงนั้นไม่มีบทสรุป มันเป็นแค่ชีวิตที่มีความสามารถที่จะแจ่มแจ้งในแต่ละขณะ ในแต่ละขณะ ไปเรื่อยๆ แค่นั้น
มันไม่ใช่ไอเดียที่ว่า ถ้าเราปฏิบัติธรรม แล้วสุดท้ายเราจะเป็นยังไง ไม่ใช่เรื่องบทสรุปแบบนั้น ทั้งหมดนั้นเป็นไอเดียของอัตตาเหมือนเดิม
เมื่อเราแจ่มแจ้งในชีวิต เราจะพบว่าอัตตา...ส่วนใหญ่ของมันก่อให้เกิดทุกข์
เราจึงเลิกใช้อัตตาในการดำเนินชีวิต และการเลิกใช้มัน ไม่ใช่การฆ่ามัน ไม่ใช่การทำลายมัน เราแค่มีความชาญฉลาดในการใช้ส่วนที่เป็นประโยชน์ของมันแค่นั้น
เพราะฉะนั้น ชีวิตจึงเป็นแค่ความแจ่มแจ้งในทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่
และผ่านชีวิตนั้น...ผ่านการมีชีวิตที่เหลือทั้งหมดได้อย่างชาญฉลาด
#Camouflage
17-09-2565
Wednesday Apr 26, 2023
311.ที่สุดของอัตตา
Wednesday Apr 26, 2023
Wednesday Apr 26, 2023
บรรยายเมื่อ 03-09-2565
วิธีการปฏิบัติธรรม หรือคำสอนใดๆ ที่แม้จะถูกต้องมากเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าคนเราได้ฟังเข้าแล้ว แล้วรับเอาไปทำ ด้วยความเชื่อ ด้วยความศรัทธา ด้วยการคิดไตร่ตรองด้วยความคิดของตัวเอง กระบวนการทั้งหมดจะกลายเป็นกับดัก
และกับดักอันขาวใสสะอาดนี่เอง ที่ทำให้มนุษย์คนหนึ่ง ไม่รู้จักความพ้นทุกข์ ไม่รู้จักความหลุดพ้น
ความหลุดพ้นหรือความพ้นทุกข์นั้น คือความแจ่มแจ้งว่า ไม่มีใครสักคนหนึ่งเป็นคนพ้นทุกข์ ไม่มีใครสักคนหนึ่งเป็นคนหลุดพ้น
#อัตตาไม่สามารถจะหลุดพ้นได้
อัตตามันมีหน้าที่ของมัน
....
ชีวิตนั้นต้องแทงทะลุผ่านม่านมายาทั้งหมด ซึ่งก็คืออัตตา
การแทงทะลุผ่านม่านมายาทั้งหมดที่เรียกว่าอัตตานั้น คือความต้องการ #ความสามารถในการใส่ใจต่อกระบวนการทั้งหมดของอัตตา
มันไม่ใช่การทะเลาะกับอัตตา การทะเลาะกับอัตตา คือการที่เราจะกลายเป็นคนอีกคนหนึ่ง คือไม่มีอัตตา ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องของการปฏิบัติธรรม นั่นเป็นแค่ที่หมายใหม่ ที่ความคิดกำลังบอกตัวเอง กำลังหาที่หมายที่ดีกว่า ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และทั้งหมดนั่นคือความคิดเฉยๆ คือความคับแคบ
ด้วยการมีความสามารถที่จะ…
…แจ่มแจ้งในวิธีการทำงาน หรือธรรมชาติของอัตตาทั้งหมดนั้น
…แจ่มแจ้งกับวิธีหนีของมัน วิธีแสวงหาของมัน วิธีคิดของมัน
…แจ่มแจ้งกับความสามารถอันเลิศล้ำของมัน ในการคิด วิเคราะห์ พิจารณา เข้าใจ
…จนในที่สุดแจ่มแจ้งอย่างลึกซึ้งว่าอัตตานี้เอง กำลังใช้สรรพกำลังทั้งหมด เพื่อที่จะพ้นทุกข์
และเกิดความเข้าใจอย่างฉับพลันว่า #มันไม่มีวันพ้นทุกข์ต่างหาก มันแค่ทำหน้าที่ตามธรรมชาติของมัน ที่จะปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยจากความทุกข์
ผมอยากให้เราเข้าใจว่า ระบบของอัตตานั้นสามารถที่จะหลอกมนุษย์คนหนึ่งที่เรียกว่า “นักปฏิบัติธรรม” ได้อย่างแนบเนียน
และความเข้าใจนี้ไม่สามารถที่จะแค่ฟังผม แล้วก็บอกว่าเข้าใจแล้ว
แต่ความเข้าใจนี้ ความแจ่มแจ้งในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด จะต้องเกิดขึ้นในชีวิตของเราเอง ที่อัตตานั้นพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะพ้นทุกข์
เราไม่ห้ามมัน เราไม่กำจัดมัน เราไม่ฆ่ามัน เราไม่ทำลายมัน
#เราต้องไปถึงที่สุดของมัน ว่ามันคืออะไร
และเมื่ออัตตาใช้สรรพกำลังทั้งหมด เพื่อที่จะหนีทุกข์
และเมื่อถึงจุดนั้น จุดที่มันไม่มีสติปัญญา ไม่มีความสามารถพอที่จะหนีทุกข์ได้อีกแล้ว
ตัวมันเองจะยอมแพ้ ตัวมันเองจะศิโรราบ
และขณะนั้นจะเกิดความเข้าใจ แจ่มแจ้งในอริยสัจ 4
แจ่มแจ้งว่า ทั้งหมดที่อัตตาพยายามจะทำนั้น คือ ทุกข์
แจ่มแจ้งว่า ทั้งหมดที่อัตตาพยายามจะทำนั้น เป็นโรงละครโรงใหญ่มากในชีวิตของเราทุกคน โดยเฉพาะนักปฏิบัติธรรม
…
ถ้าเราเข้าใจทั้งหมดที่ผมพูด ด้วยตัวเราเอง เราจะค้นพบว่า การมีชีวิตที่เกิดมานั้น เป็นเพียงแค่ความสามารถในการผ่านประสบการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต โดยที่ไม่มีความแบ่งแยก ว่าอันนี้ถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว มันเป็นเพียงแค่ประสบการณ์
#และการผ่านประสบการณ์ทั้งหมดนั้น คือ ชีวิตที่แท้จริง
ไม่มีมายาใดๆ ขยายประสบการณ์ของผัสสะเหล่านั้น ไม่ว่าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือใจ
ไม่มีใครสักคนหนึ่งขยายประสบการณ์ที่เป็นเนื้อแท้นั้น ให้กลายเป็นโรงละครโรงใหญ่ในชีวิต
#Camouflage
03-09-2565
Monday Apr 17, 2023
310.ความลวง
Monday Apr 17, 2023
Monday Apr 17, 2023
บรรยายเมื่อ 20-08-2565
ระบบของอัตตาด้วยตัวมันเองเป็นความเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว มันจะเลือกสิ่งที่ดีเท่านั้น
และเมื่อมันพยายามจะเลือกสิ่งที่ดีเท่านั้น ความเป็นอยู่อย่างสมบูรณ์ ด้วยหัวใจที่ไม่แบ่งแยก จึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย
เมื่อเจอสิ่งที่ไม่ดี อัตตาจะหนี หรือไม่ก็ทำอะไรบางอย่าง เพื่อไม่ให้สิ่งที่ไม่ดี เข้ามาที่ตัวได้ ด้วยระบบวิธีปฏิบัติบางอย่างที่ถูกสอนมา
และเมื่อเจอสิ่งที่ดี ระบบของอัตตาจะรักษา และพยายามแสวงหามันเพิ่มเติมขึ้นไปอีก
เพราะระบบของอัตตานั้นคิดว่า เมื่อเราได้รับแต่สิ่งที่ดี จิตใจมีแต่กุศลแล้ว เราจะถึงจุดสูงสุดของชีวิต ที่หมายสักที่หนึ่ง ที่อัตตาหวังไว้ เช่น นิพพาน
ผมไม่ได้บอกว่าระบบวิธีปฏิบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด แต่สิ่งที่ผมกำลังบอกคือ เราต้องเข้าใจทั้งหมดนี้ เห็นทั้งหมดนี้
เมื่อเราเข้าใจระบบของอัตตา ว่ามันเป็นเพียงแค่ชุดความคิดอันหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นมา และเรารู้ว่าไม่จริง
เมื่อมันเป็นแค่ชุดความคิดอันหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ทั้งหมดนั้นไม่จริง
เพราะฉะนั้น ผมถึงถามพวกเราบ่อยๆ ว่า “เราสามารถจะมีชีวิตจริงๆ ได้ไหม?”
การปฏิบัติธรรม คือ ความสามารถที่คนๆ หนึ่งจะมีชีวิตจริงๆ ได้ นั่นคือความสามารถที่คนๆหนึ่งจะไม่ถูกลวงหลอกด้วยชุดของความคิดใดๆ ทั้งสิ้น
แต่เมื่อฟังผมพูดแบบนี้แล้ว เราอาจจะมองไปว่า อ๋อ มันคือพ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวงนี่เอง และพ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวงนั้นเป็นชุดความคิดใหม่ ที่เรายอมรับในขณะนี้ได้ทันทีว่าเป็นวิธีที่ถูกต้อง และนั่นคือไม่จริง
จริงคืออะไร?
จริง คือ พ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง
แต่มันเกิดขึ้นมาจากที่ไหน?
มันเกิดขึ้นมาจากการที่ฟังสิ่งที่ผมพูด แล้วดูมีเหตุผล แล้วก็เชื่อ แล้วก็เอาไปทำ
หรือว่ามันเกิดขึ้นมาจากการพิจารณาชีวิตนี้ของตัวเอง ลงลึกกับมัน กับทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้อย่างถ่องแท้ จนค้นพบว่า ทั้งหมดของชีวิต คือ #ความลวง
แล้วความพ้นจากความปรุงแต่ง หรือความเป็นอยู่อย่างเป็นทั้งหมดกับอะไรๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ว่าทุกข์หรือสุขก็ตาม จึงจะสามารถเกิดขึ้น และเป็นของจริง
เพราะฉะนั้น ไม่มีใครช่วยเราได้ อย่าหลงเชื่อว่าใครจะช่วยเราได้
#มีแต่เราเท่านั้น
...ที่จะต้องพิจารณาชีวิตนี้ด้วยตัวเราเอง
...ใช้ชีวิตนี้ด้วยตัวเราเอง
...ถ่องแท้กับมันด้วยตัวเราเอง
และเมื่อไหร่ก็ตาม ที่เราเข้าใจสิ่งที่ผมพูดอันนี้ ด้วยหัวใจของเราเอง เราจะพบว่า...
...ไม่มีที่ไหนให้เราไป
...ไม่มีที่หมายให้เราไป
...ไม่มีอะไรให้เราต้องเป็นทั้งนั้น
#เพราะมันไม่มีใคร
มันมีแค่ความสามารถในความเป็นอยู่กับขณะนี้อย่างแจ่มแจ้ง แค่นั้น
คำว่า “อย่างแจ่มแจ้ง” หมายความว่า ไม่มีไอเดียใดๆ เกี่ยวกับทฤษฎีบางอย่างเข้ามาบิดเบือนความจริงในขณะนี้ เช่น ขณะนี้มีความทุกข์เกิดขึ้น มีอกุศลเกิดขึ้น มีความเศร้าหมองเกิดขึ้น
เรามีความสามารถในการเป็นอยู่กับมันอย่างสมบูรณ์ โดยที่ไม่บิดเบือนมัน ไม่แก้ไขมัน ไม่หนีมัน ไม่ทำอะไรทั้งนั้น
ไม่ตัดสินตัวเองลงไปว่า ทำไมปฏิบัติธรรมมาตั้งนาน…ยังเป็นแบบนี้อยู่ แม้กระทั่งไม่ตัดสินตัวเองว่า เอ๊ะ เราว่าเราเป็นพระอรหันต์แล้วนะ…ทำไมยังเป็นอย่างนี้
ไอเดียลวงหลอกทั้งหมดเหล่านั้น คือที่หมายบางอย่าง ที่เราปักตัวเองลงไปว่า เราได้เป็นอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว และทันทีที่เราปักลงไปว่าเราเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว ความลวงทั้งหมดจะเกิดขึ้น
และความเป็นอยู่อย่างสมบูรณ์จะหายไป
#Camouflage
20-08-2565
Friday Apr 07, 2023
309.ระยะทาง เวลา และความทุกข์
Friday Apr 07, 2023
Friday Apr 07, 2023
บรรยายเมื่อ 06-08-2565
เราไม่เคยเห็นว่า ชีวิตของเรานั้น พยายามปลอมตัวเป็นใครสักคนหนึ่งที่ดีกว่าตอนนี้
เราพยายามปลอมตัว ให้เหมือนกับอุดมคติบางอย่าง ที่เราอยากจะเป็น ที่เราอยากจะไปถึง
แล้วละเลยความเป็นจริงขณะนี้
เราต้องการจะมี สิ่งที่เราเชื่อว่าเราไม่มี
ถ้าเรายังคงมีเป้าหมาย อุดมคติบางอย่าง ที่หลงเหลืออยู่ในหัวใจของเรา ชีวิตของเรานั้น...โดยอัตโนมัติเลย มันจะละเลยขณะนี้
ความเป็นขณะนี้ การมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ หรือการเป็นปัจจุบันอย่างแท้จริงนั้น ไม่สามารถที่จะใช้ทฤษฎีหรือความจำได้ว่า อาจารย์บอกว่าให้อยู่กับปัจจุบัน แล้วมันจะเป็นปัจจุบัน
เมื่อความคิดกําลังบอกว่า “ต้องอยู่กับปัจจุบัน” ต้องอยู่กับปัจจุบันนั้นเป็นอนาคตแล้ว เป็นเป้าหมาย เป็นอุดมคติ
และมันมีระยะทางระหว่างเราในขณะนี้ที่ไม่มีคำพูดใดๆ เลยหรือความเชื่อใดๆ เลยครอบงำอยู่ กับความคิดอีกอันหนึ่งที่เกิดขึ้นที่บอกเราว่า เราต้องอยู่กับปัจจุบัน
ระยะทางระหว่างนั้น การไปถึงที่นั่น นั่นคือเวลา และนั่นไม่ใช่ปัจจุบัน
ถ้าเราพูดถึงคำว่าปฏิบัติธรรม เราสามารถที่จะสรุปรวบยอดง่ายๆ ได้เพียงแค่ว่า #เรามีความสามารถที่จะเป็นอยู่กับขณะนี้อย่างเต็มเปี่ยม เต็มอิ่มกับมัน
และสิ่งที่ถูกแจกแจงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสติ สมาธิ หรือปัญญา ศีล อะไรก็ตามที่ถูกแจกแจงออกไป มันอยู่ในนี้
มันอยู่กับชีวิตที่เป็นปัจจุบันอย่างแท้จริง
มันไม่ใช่เรื่องของการที่ใครสักคนหนึ่ง อ่าน ฟัง รับคำสอนไป รับเนื้อหาที่ถูกแจกแจงออกจากชีวิตที่เป็นปัจจุบันอย่างแท้จริง ด้วยคำพูดต่างๆ มากมาย กลายเป็นคุณสมบัติหลายอย่างที่เราได้ยิน ได้ฟัง และเราก็มองว่า เห็นว่า หรือเห็นด้วยว่า เราจะต้องทำแบบนั้น
ให้พวกเราคิดดูว่า การรับสิ่งที่ถูกแจกแจงออกจากปัจจุบันนั้น แล้วเอาไปคิดว่ามันคืออะไร แล้วเอาไปทำ นั่นคือมีอัตตาตัวหนึ่งกำลังสร้างอุดมคติบางอย่างที่จะต้องไปถึง และอัตตาตัวนั้นก็มีระยะห่างระหว่างอุดมคติที่ไปถึงกับตัวมันเอง และนั่นคือกาลเวลา
และเมื่อมีระยะทางและการเวลา จะต้องมีความทุกข์
กับผมบอกว่า ใช้ชีวิตอย่างเป็นปัจจุบันอย่างแท้จริง ขณะนี้ ขณะที่ไม่มีอะไรครอบงำชีวิตนี้
ไม่หลงเหลือความเชื่อใดๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับถูกผิด ดีชั่ว
ไม่หลงเหลือไอเดียเกี่ยวกับว่านี่เป็นสติไหม นี่เป็นสมาธิหรือยัง แล้วเราจะทำยังไงให้มีปัญญา
ไม่มีสิ่งเหล่านี้และสิ่งอื่นๆ ที่เป็นเรื่องทำนองนี้ หลงเหลืออยู่ในชีวิตจิตใจเลย
และมีชีวิตที่เป็นปัจจุบันอย่างแท้จริง
แล้วค้นพบด้วยตัวเองว่าสิ่งต่างๆ ที่อัตตารับมา และอยากจะไปทำนั้น มันอยู่ที่นี่อยู่แล้วใช่ไหม
…
ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความเป็นปกติหรือผิดปกติ เป็นโพธิหรือกิเลส สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลย คือแก่นของชีวิต
และแก่นของชีวิตคือความเป็นอยู่กับสิ่งเหล่านั้น อย่างสมบูรณ์ที่สุด
ความเป็นอยู่นี้เป็นสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
มนุษย์เราเกิดมาในโลกที่มีแต่ความแบ่งแยก การตัดสินให้คุณค่า การเลือกข้าง การจะไปอยู่ในที่ที่ดี อุดมคติบางอย่างที่เป็นเป้าหมายที่ดี เป้าหมายสูงสุดในชีวิต
เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโลกที่มีความแบ่งแยกสูงสุด ในเรื่องของของคู่ ดี ไม่ดี
และเราลืมว่าการเกิดมามีชีวิตนั้น เป็นแค่ความสามารถในการเป็นอยู่กับขณะนี้ ไม่ว่ามันจะคืออะไรก็ตามอย่างสมบูรณ์ที่สุด
เราไปหลงอยู่ในโลกแห่งการแบ่งแยก เราหลงอยู่ที่นั่น เราหลงอยู่ในนั้น
แม้กระทั่งเราเข้ามาในศาสนา เราก็ยังหลงอยู่ในนั้น
คนคนนึงที่มีชีวิตขึ้นมาแล้ว เกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อเข้ามาในแวดวงการปฏิบัติธรรม เราก็คิดว่าเราจะต้องปฏิบัติธรรม ต้องทำนี่ ต้องทำนั่น ต้องเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งผมพูดหลายครั้งแล้วว่า มันเหมือนเราอยู่ในโลก เรียนหนังสือ ทำงาน ประสบความสำเร็จไปเรื่อยๆ นั่นคือโครงสร้างเดียวกัน แค่เปลี่ยนกิจกรรมทำเฉยๆ แค่นั้น
เราไม่เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นเรื่องอีกเรื่องนึงเลยที่ไม่ใช่แบบที่เราเข้าใจกันอยู่ในทุกวันนี้
มันเป็นแค่ความสามารถในการเป็นอยู่กับขณะนี้อย่างสมบูรณ์ได้ไหม
และไม่ใช่เรื่องที่จะต้องฝึก
เป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้เลยทันที
ถ้าเรานั่งเฉยๆ เราเป็นอยู่กับขณะนี้ได้เลยทันที นั่นแปลว่าไม่ต้องฝึก ถูกไหม?
มันเป็นเรื่องแค่ เป็นได้เลย กับไม่เป็น แค่นั้น
มันเป็นเรื่องของทันที ฉับพลัน
เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ได้ เพราะถ้าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องของฉับพลัน ไม่ใช่เรื่องของทันที แต่อาศัยการฝึก การฝึกใน Sense ของอุดมคติบางอย่างที่เราจะไปให้ถึง ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว
การฝึกเหล่านั้น คือ ระยะทางของอัตตา กับเป้าหมาย และสร้างกาลเวลาขึ้น
และทั้งหมดนั้นคือทุกข์
และนักปฏิบัติธรรมเราทำเรื่องแบบนั้นทั้งชีวิตที่เราเข้ามาปฏิบัติธรรม
เราไม่ได้ปฏิบัติธรรม เราแค่หาทุกข์ใส่ตัวเฉยๆ
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมนั้นคือฉับพลัน ขณะนี้
ไม่ใช่เรื่องของการพัฒนาหรือการฝึกอะไร
#Camouflage
06-08-2565
Tuesday Mar 28, 2023
308.อุตสาหกรรมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความหลง
Tuesday Mar 28, 2023
Tuesday Mar 28, 2023
บรรยายเมื่อ 30-07-2565
ผมอยากให้พวกเรานักปฏิบัติธรรม เป็นคนที่ลึกซึ้งต่อชีวิตนี้ ไม่ใช่ตื้นเขิน ในลักษณะที่ว่า รับคำสอนไป แล้วก็เอาไปทำ
สิ่งที่ผมสอนเราทุกคน เกิดจากความลึกซึ้งต่อชีวิตของผมเอง เกิดจากความลึกซึ้งที่ผมเห็นชีวิตคนอื่น
ของทุกอย่างที่ถูกสอนมา...เรารับฟัง
รับฟังแล้ว...ก็วางเอาไว้
ไม่ต้องเชื่อและไม่ต้องไม่เชื่อ
และลงลึกต่อชีวิตนี้ด้วยตัวเอง
ชีวิตนั้นมีหลากหลายแง่มุม หลากหลายมุมมอง ที่ตัวเราเองนั้น จริงๆ ยังไม่เข้าใจ แต่ปัญหาคือ เราปล่อยผ่าน
เพราะเรารับคำสอนมาในทำนองที่ว่า เราปฏิบัติธรรม ก็เพื่อ “เรา” จะไม่ทุกข์
หรือแม้กระทั่งคำสอนว่า “พ้นจากความคิดปรุงแต่ง” เราจึงไม่อยากคิด เราไม่อยากพิจารณาทั้งนั้น...กลัวผิด กลัวว่าทำแบบนั้น แล้วจะเป็นกิริยาที่ผิด
เพราะฉะนั้น ชีวิตเรานักปฏิบัติธรรมนั้น #ติดอยู่ในกับดักของสิ่งที่ถูก และเราจะทำแค่นั้น
ชีวิตเราจึงเป็นชีวิตที่ไม่ลึกซึ้ง
และเป็นชีวิตที่แบ่งแยก
และเป็นชีวิตที่มีแต่ตัณหา
ที่จะเอาแต่สิ่งที่ดี
ระบบความคิดทั้งหมดนี้ #ทำให้ชีวิตทั้งหมดของเราไม่จริง
....
ระบบของความหลง ของมิจฉาทิฏฐิ และของอัตตา เป็นกลไกที่เรียกว่า ฉลาดที่สุด
มันให้ความล้มเหลวและความสำเร็จ
มันให้ระบบการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล
มันให้ระบบของความหวังและบทเรียน
ระบบทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของคนแต่ละคน ก่อให้เป็นระบบของครอบครัว สังคม ประเทศ โลก
ทั้งหมดเกิดขึ้นจากระบบของความหลง มิจฉาทิฏฐิ และอัตตา
และเราทุกคนใช้ชีวิตในอุตสาหกรรมนั้น
#อุตสาหกรรมที่ถูกสร้างขึ้นโดยความหลง
เพราะฉะนั้น ก่อนที่คนคนนึงจะปฏิบัติธรรม จะต้องเข้าใจก่อนว่าอะไรคือความหลง
ต้องเข้าใจว่าอะไรคืออัตตา
ต้องเข้าใจว่าอะไรคือมิจฉาทิฏฐิ
ถ้าเรามีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ต่อความหลง ชีวิตจึงจะสามารถที่จะเริ่มเป็นจริงขึ้นมาได้
และเมื่อชีวิตเริ่มเป็นจริงขึ้นมาได้ การเห็นชีวิตนี้ตามความเป็นจริง จึงจะสามารถเกิดขึ้นได้
ที่ผมเคยบอกว่านักปฏิบัติธรรมเราไม่เข้าใจ แม้กระทั่งว่าความสุขคืออะไร
นักปฏิบัติธรรมเราจะตอบพร้อมกันว่า ความสุข คือ ความเพลิดเพลิน พอใจ และเราต้องอยู่ห่างจากมันให้มากที่สุด
คล้ายๆ เรื่องของอัตตา...เมื่อพูดถึงอัตตา นักปฏิบัติธรรมจะบอกเหมือนกันทุกคนว่า มันคือของไม่ดี มันคือมิจฉาทิฏฐิ มันคือความหลง และเราทุกคนพยายามอยู่ห่างจากมันมากที่สุด
คนที่พยายามอยู่ห่างจากมันมากที่สุดก็คือ “อัตตา”
ความลวงหลอกของระยะทาง อัตตานี้กับอัตตานั้น พยายามอยู่ห่างกัน ทั้งที่จริง มันอยู่แนบสนิทชิดเป็นอันเดียวกัน แต่เราหลอกตัวเองว่า เราอยู่ห่างจากมัน
ความที่มีความเชื่อครอบงำเกี่ยวกับบางสิ่งว่ามันไม่ดี และพยายามหนีห่างออกจากมัน คือ อัตตาประเภทนึง
และทั้งหมดของชีวิตนั้นคือมายา
...
การที่คนคนนึงสามารถที่จะมีความแจ่มแจ้ง รู้จักสิ่งต่างๆ อย่างถ่องแท้
การที่ใครสักคนนึงมีความสามารถนั้น คนๆ นั้นจึงสามารถที่จะมีชีวิตที่เป็นจริง ชีวิตที่แท้จริง ชีวิตที่ไม่อยู่ในความหลงอีกต่อไป
แล้วทั้งหมดนั้นที่เรียกว่า ความสุข ความทุกข์ หรืออะไรก็ตามที่เคยมีอยู่ในชีวิต มันจะเป็นแค่สนามเด็กเล่น มันเป็นแค่ของเล่น
เป็นแค่เป็นสิ่งที่หลอกเราไม่ได้อีกแล้ว
แต่เราใช้มันได้ทุกอย่าง
#Camouflage
30-07-2565
Saturday Mar 18, 2023
307.ท่านเลิกความเชื่อทั้งหมด
Saturday Mar 18, 2023
Saturday Mar 18, 2023
บรรยายเมื่อ 24-07-2565
แท้จริงเรานักปฏิบัติธรรม สนใจแต่ความหมายจากการตัดสินและให้คุณค่าสิ่งต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น มากกว่าประสบการณ์ตรงต่อสิ่งนั้นๆ ในขณะนี้ว่ามันเป็นยังไง
เราสนใจแต่คุณค่าและความหมายของสิ่งที่เรามีประสบการณ์อยู่ ว่าสิ่งนั้นมันดีหรือไม่ดี ถ้ามันดี เราจะเอา ถ้ามันไม่ดี เราจะไม่เอา เราสนใจแต่เรื่องแบบนั้น
และนั่นหมายความว่า เราไม่เคยมีชีวิตที่เป็นปัจจุบันเลย
เราสนใจแต่เรื่องราว เนื้อหาของประสบการณ์
เราไม่สนใจแค่ประสบการณ์ ที่ไม่มีเรื่องราว
พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่า ชีวิตหรือคำสอนของท่านนั้น เป็นแค่ประสบการณ์ ไม่ใช่หลักการ
แต่ก็เหมือนเดิม เราฟังไม่รู้เรื่อง เราจึงชอบหลักการ เราชอบหลักธรรม
...
ก่อนหน้าอริยสัจ 4 หัวใจของการมีชีวิตจริงๆ นั้น เรามีหรือยัง?
เพราะถ้าเราเอาหลักอริยสัจ 4 ไปทำ นั่นคือความเชื่อเหมือนเดิม
ชีวิตที่แท้จริงนั้น…จริง แต่ไม่จริง
ชีวิตที่แท้จริงนั้น…จริง แต่เหมือนฝัน
ถ้าเราคิดถึงอดีตที่เคยผ่านมาในชีวิตของเรา…จริงไหม?
ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง เหมือนฝันไหม?
มันผ่านไปแบบ ไม่มีอะไร ผมเปรียบเปรยเฉยๆ
แต่ในความเป็นจริง มันคือชีวิตที่ไม่มีความยึดติดกับอะไร ชีวิตจึงเป็นจริงแต่เหมือนฝัน ไม่มีความจริงจังกับอะไรทั้งนั้น
เป็นแค่ประสบการณ์ ที่มันก็ผ่านไป ไม่มีใครเก็บมันเอาไว้
เหมือนที่เราเคยได้ยินคำว่า ไม่มีอะไรน่าเอา น่าเป็น แต่มันอยู่ใน Sense ที่รู้สึกว่า หยิบอะไรก็ทุกข์ ยึดอะไรก็ทุกข์ อะไรๆ ก็ทุกข์
แต่ผมไม่ได้หมายถึง Sense แบบนั้น
มันเป็น Sense ของชีวิตที่เบาสบายมากกว่า
เป็น Sense ของชีวิตที่เป็นปัจจุบันอย่างแท้จริง
และนี่คือความงามของชีวิต
#Camouflage
24-07-2565
Monday Mar 06, 2023
306.สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าความเป็นพระอรหันต์
Monday Mar 06, 2023
Monday Mar 06, 2023
บรรยายเมื่อ 16-07-2565
การที่ใครสักคนนึงสามารถเข้าใจกระบวนการของอัตตาว่ามันทำงานยังไง มันทำอะไร มันเป็นแบบไหน
ความเข้าใจแจ่มแจ้งในกระบวนการของอัตตา นั่นเรียกว่า “การปฏิบัติธรรม”
มีแต่กระบวนการของอัตตาเท่านั้นที่ต้องการความหลุดพ้น ต้องการความเป็นพระอรหันต์ ต้องการนั่น ต้องการนี่ ต้องการจะพ้นทุกข์ ต้องการจะไม่ทุกข์ ต้องการกระทบแล้วไม่กระเทือน ต้องการสัมผัสรสชาติอันบริสุทธิ์ ที่เขาเรียกว่า “พระอรหันต์”
อัตตาอยากได้ทุกอย่าง อยากได้ความสุขทุกรูปแบบที่อัตตาได้ยินมา อยากสัมผัสบรมสุขที่สูงส่ง เพราะมันช่วยเสริมอัตตาว่าเราได้รับความสุขนั้นแล้ว เราไปถึงที่นั่นแล้ว นี่คือหน้าที่ของมัน มันทำงานแบบนั้น
...
การปฏิบัติธรรมคือ การที่คนคนนึงสามารถจะเข้าใจอะไรก็ตาม ที่มีอยู่ในชีวิตนี้อย่างแจ่มแจ้ง และความเข้าใจนั้นจะเกิดขึ้นได้ คนคนนึงจะต้องมี #ความใส่ใจต่อชีวิตนี้อย่างสูงสุด
มีความใส่ใจต่อชีวิตนี้ในทุกอย่างที่มันกำลังเกิดขึ้น ใส่ใจมันอย่างไม่มีจุดหมาย ว่าใส่ใจมันแล้ว เราจะได้บทสรุปสักอันหนึ่ง แล้วคราวหน้าเราจะไม่เป็นแบบนี้อีก เพราะนั่นคือ เรื่องของอัตตา
เพียงแค่ใส่ใจและเข้าใจมันอย่างแจ่มแจ้ง ในทุกวัน ทุกขณะของชีวิต แค่นั้น ไม่มีใครจะได้อะไรทั้งนั้น
#เราจะไม่ใช่อัตตาที่ดีกว่านี้
อย่าให้ไอเดียของอัตตาที่ดีกว่านี้ ยิ่งใหญ่กว่าความสามารถที่จะมีชีวิตและเข้าใจแต่ละขณะ
และผ่านกระบวนการที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะของชีวิตนั้น อย่างซื่อตรงและแจ่มแจ้งกับมัน
เราต้องแยกให้ออกระหว่าง การที่เราต้องการพัฒนาอัตตาไปในทางที่สูงส่งขึ้น มีประสบการณ์ มีสภาวธรรมที่วิเศษ จนไปถึงไอเดียว่าอัตตานั้นจะเป็นพระอรหันต์…จะได้รับความรู้สึกนั้น
เราต้องแยกให้ออกระหว่างเรื่องของอัตตาแบบนี้ ที่เราให้ความสำคัญมันมาก กับเรื่องของการผ่านกระบวนการในแต่ละขณะของชีวิต ไม่ว่าสิ่งนั้นจะคืออะไรก็ตาม ผ่านกระบวนการชีวิตนั้นอย่างซื่อตรงและลงลึก เข้าใจแจ่มแจ้งกับความเป็นอยู่ ความมีอยู่ทั้งหมดของมัน ว่าคืออะไร
กระบวนการแห่งอริยสัจ 4 นี้ มีความสำคัญที่สุดในชีวิตของเราทุกคน ยิ่งกว่าความเป็นพระอรหันต์ ยิ่งกว่าสภาวะวิเศษใดๆ ที่เราต้องการ
ความเป็นพระอรหันต์ที่เราต้องการนั้น เป็นเรื่องไม่วิเศษ เพราะเป็นเรื่องของอัตตาทั้งนั้น
#Camouflage
16-07-2565
Monday Feb 27, 2023
305.แลกด้วยชีวิต ไม่ใช่ความคิด
Monday Feb 27, 2023
Monday Feb 27, 2023
บรรยายเมื่อ 13-07-2565
คำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนออกมา ถูกถ่ายทอดมาจากชีวิต ถูกถ่ายทอดออกมาจากประสบการณ์ของชีวิตของท่าน
แต่เราในฐานะผู้ฟัง เราใช้ความคิด ใช้เหตุผล และแปลมันเป็นหลักการ
เราไม่ได้ใช้ชีวิต ที่จะฟังคำสอนจากชีวิต
#เราไม่เคยแลกคำสอนด้วยชีวิต เราแลกมันด้วยความคิด
นี่คือบาทฐานสำคัญของการที่คนสักคนหนึ่ง ชีวิตสักชีวิตหนึ่ง จะมีความสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้
และเมื่อเราไม่มีบาทฐานอันสำคัญอันนี้ ชีวิตหลังจากนั้นของเรา ก็จะเป็นการทำตามความคิด ในสิ่งที่เราให้คำจำกัดความกับแต่ละคำสอนของท่าน
และเราใช้ชีวิตที่เรียกว่า “ปฏิบัติธรรม” อยู่ภายใต้ความคิดของตัวเอง
นั่นคือการปฏิบัติธรรมของเรานั้น ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่าน เราแค่ปฏิบัติตามความสามารถในการแปล ด้วยความคิดของเราในสิ่งที่ท่านสอน และมีโอกาสสูงเหลือเกินที่เราแปลผิด
...
พระพุทธเจ้าท่านพูดถึงอริยสัจ 4
“อริยสัจ 4 ไม่ใช่วิธี
อริยสัจ 4 คือ ชีวิต”
เราไม่ใช่ปฏิบัติอริยสัจ 4 เพราะว่าเป็นคำสอนของท่าน เพราะว่าเป็นวิธีที่น่าจะถูกต้อง เพราะนั่นคือความคิด และความคิดมักจะประกอบด้วยอัตตา
และชีวิตที่เหลือหลังจากนั้น ก็เป็นการใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของอัตตา
อัตตาเป็นคนควบคุมชีวิตนี้ ให้ไปในทิศทางของอริยสัจ 4
แต่ถ้าเรามีความลึกซึ้งกับชีวิตนี้ ชีวิตนี้นั้นหนีไม่พ้นความเป็นอริยสัจ 4
มันไม่ใช่ความรู้สึกว่า มันคือวิธีการที่เราเพิ่มเข้ามา
แต่โดยธรรมชาติของชีวิตนั้นเอง คือ อริยสัจ 4
และเมื่อชีวิตของคนๆ นึงคือความเป็นอริยสัจ 4 ความเป็นสัมมาทิฏฐิในอริยมรรค ก็ได้เกิดขึ้น
และเมื่อความเป็นสัมมาทิฏฐิในอริยมรรคได้เกิดขึ้น สัมมาที่เหลืออีก 7 ข้อ ก็จะเกิดขึ้นทันที
ความเข้าใจแบบที่ผมบอกนี้ จะต้องเข้าใจด้วยชีวิต
ทุกอย่างเกิดขึ้นในขณะเดียว มันไม่ใช่การคอยมาแจกแจงความหมายของแต่ละอย่าง แล้วสอนให้คนทำทีละอย่าง หรือแม้กระทั่งสอนให้ทำหลายๆ อย่างพร้อมกัน ทั้งหมดเป็นเรื่องของความคิด
เราใช้ความคิดแลกกับชีวิต เราจะได้สิ่งที่เป็นของปลอม
...
นักปฏิบัติธรรมไม่สามารถจะเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ เพราะเราไม่เคยมีความสามารถที่จะใช้ชีวิตแลกกับคำสอนที่มาจากชีวิตของท่าน
เราไม่เคยเสียสละชีวิตนี้ แลกกับความเสียสละชีวิตของท่าน
เราใช้อัตตาและความคิด รับคำสอนที่เป็นจริง ที่มาจากชีวิต ไปทำ
มันเป็นของที่เข้ากันไม่ได้ มันเข้าคู่กันไม่ได้
ของจริงจะกลายเป็นของปลอมทันที ที่เราทำแบบนั้น
และนี่คือเหตุผลว่า เรานักปฏิบัติธรรมถึงได้ตกอยู่ในวังวนของเขาวงกต ของการปฏิบัติธรรม เพราะเราเป็นของไม่จริง
เราใช้ชีวิตบนรากฐานของอัตตา ของความคิด
#Camouflage
13-07-2565
Sunday Feb 19, 2023
304.ความหลงอันสมบูรณ์
Sunday Feb 19, 2023
Sunday Feb 19, 2023
บรรยายเมื่อ 09-07-2565
ความสุขที่แท้จริงนั้น เปิดเผยตัวขึ้นมาได้
ด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง
ด้วยหัวใจที่ไร้ทิศทาง
ด้วยหัวใจที่ไร้เดียงสา
ด้วยหัวใจที่มีอิสรภาพ
ด้วยหัวใจที่ไร้ขอบเขต
หัวใจที่เปิดออกหมดนั้น เชื่อมต่อกับทุกสิ่งทุกอย่าง
เป็นความงามของการมีชีวิต
เป็นความเมตตา
เป็นความเบิกบาน
เป็นความมีสมาธิ
เป็นความมีสติ
เป็นการรับรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง
เป็นความปกติ
เป็นนิพพาน
เป็นภาวะที่พ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง
เป็นภาวะที่ความรู้ตื่น ได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์...เต็มที่
เป็นความเต็ม
เป็นความที่ไม่มีเจตนาใดๆ ของอัตตา ที่จะเคลื่อนออกไป พุ่งออกไป ส่งออกไปไหน และไม่ได้หมายความว่า เราต้องห้ามดู ห้ามฟัง หรือห้ามอะไรเลย
ความเต็มแบบนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับวิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
สิ่งเหล่านี้ที่ผมพูดถึงทั้งหมด #เกิดขึ้นจากหัวใจที่เปิดกว้าง ไม่ใช่เราฝึกที่จะมีมัน
ความรู้สึกที่ผมบอกทั้งหมด…แต่ยังไม่หมด…ไม่ใช่สิ่งที่ความคิดของอัตตาคิดว่า จะต้องทำยังไง ถึงจะรู้สึกได้แบบนี้ ไม่มีทางของความคิดเข้าไปสู่สิ่งๆ นี้ได้
มีเพียงความสิ้นสลายไปของเจตนาแห่งอัตตา...สิ้นสลายไปอย่างถึงที่สุดของมัน หัวใจจึงจะสามารถที่จะเปิดกว้างได้
แต่เมื่อผมพูดถึงความสิ้นสลายไปของอัตตา มันไม่ใช่การทำลายมัน เพราะนั่นคือเจตนาของอัตตาที่ซ้อนขึ้นไปอีก
แต่มันคือ...
...การเป็นอยู่กับขณะนี้
...เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
...เป็นอยู่กับมันอย่างสมบูรณ์ที่สุด โดยไม่มีเจตนาของอัตตาที่จะกระทำอะไรต่อมัน
การเป็นอยู่กับมันอย่างสมบูรณ์ที่สุด และสามารถจะเข้าใจแจ่มแจ้งกับความเป็นทั้งหมดของขณะนี้ โดยไม่มีความแบ่งแยก รังเกียจสิ่งที่เกิดขึ้น หรืออยากจะเอาไว้ในสิ่งที่เกิดขึ้น
นี่คือความเป็นอยู่อย่างสมบูรณ์ที่สุด บนพื้นฐานของหัวใจแห่งอริยสัจ 4
นี่คือทั้งหมด
นี่คือทั้งหมดของชีวิต
นี่คือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด ในการมีชีวิต
มันไม่ใช่การที่เราคนหนึ่งพยายามขจัดสิ่งที่ไม่ดี พยายามจะมีสิ่งที่ดี นั่นเป็นเรื่องของอัตตา นั่นเป็นเรื่องที่ถูกควบคุมด้วยความคิดหรือความเชื่อบางของอัตตา
และการกระทำอันเหน็ดเหนื่อยนี้ เป็นงานที่หนัก ทั้งที่จริงๆ แล้ว กิจกรรมที่เราทำแบบนี้ เป็นสิ่งที่เล็กเหมือนขี้ฝุ่นในชีวิตเลย มันไม่มีผลอะไรกับชีวิตเลย
ความสามารถที่คนๆ นึง จะเป็นอยู่กับขณะนี้ไม่ว่ามันจะดีหรือมันจะร้าย เป็นอยู่กับมันอย่างสมบูรณ์ และเข้าใจแจ่มแจ้งในความเป็นไปของมัน ด้วยหัวใจอันเปิดกว้าง ปราศจากอคติ นี่คือความล้ำค่าที่สุดในการที่คนๆ นึงมีชีวิตอยู่
นี่คือสิ่งที่มีค่าที่สุด
#Camouflage
09-07-2565
Monday Feb 06, 2023
303.เราเห็นชีวิตแค่เพียงส่วนเสี้ยว...ไม่เป็นทั้งหมด
Monday Feb 06, 2023
Monday Feb 06, 2023
บรรยายเมื่อ 02-07-2565
เราไม่เคยจะอยู่ตรงกลางจริงๆ เราเขวไปทางดี
“ตรงกลาง” ไม่ใช่อยู่ระหว่าง “ดี” กับ “ไม่ดี”
“ตรงกลาง” ไม่ใช่อยู่ระหว่าง “อัตตกิลมถานุโยค” กับ “กามสุขัลลิกานุโยค”
“ตรงกลาง” ไม่ใช่อยู่ระหว่าง “ของคู่”
แต่คำว่า “ตรงกลาง หรือ กลาง”คือ สามารถเห็นความเป็นจริงของ ของทั้งสองอย่าง ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง และนั่นหมายความว่า ชีวิตนั้นไม่ถูกดึงดูดไปด้วย ดีและไม่ดี
คำว่า “จริง” นั้นครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในชีวิตเรานี้
และความจริงนั้นเอง คือความเป็นกลางถึงที่สุด
เพราะฉะนั้น ผมถามเรามาตลอดว่า ชีวิตเราจริงมั้ย? เป็นคำถามง่ายๆ ที่ตอบยาก และต้องใช้ชีวิตของพวกเราตอบ ไม่ใช่ใช้ความคิด
นักปฏิบัติธรรมเราแค่อยู่ในเกมส์ เราไม่เคยรู้ว่าเราแค่อยู่ในเกมส์ของการอยู่ในฝั่งที่ดีและไม่เอาฝั่งที่ไม่ดี จริงๆ แล้ว เราอยู่ในเกมส์แค่นั้นเอง ซึ่งมันไร้สาระมาก
การปฏิบัติธรรมนั้นคือ #การรู้จักตัวเอง และนั่นคืออริยสัจ 4 มีแค่นี้
นอกเหนือจากนั้นคือเกมส์ เกมส์ที่เราถูกล่อลวงมานานแสนนาน เกมส์ของบุญ เกมส์ของดี เกมส์ของบารมี เกมส์ของบริสุทธิ์
ผมเคยพูดว่าเมื่อเรามีราคะเกิดขึ้น เราจะถูกสอนมาว่าให้ทำอสุภกรรมฐาน มันเป็นโปรโตคอลที่เราต้องทำ เป็นโปรโตคอลที่เรารู้สึกว่า เพราะราคะเป็นสิ่งไม่ดี เราต้องรีบกำจัดมันทิ้งไปซะด้วยการทำอสุภกรรมฐาน เรามีไอเดียแบบนั้นต่อราคะ
แทนที่เราจะเอาอริยสัจ 4 เข้าไปจับกิเลสตัวนั้น ว่าราคะคืออะไร มันมาจากไหน มันเป็นยังไง มันกำลังแสดงความจริงยังไง มันบีบคั้นยังไง มันสิ้นสุดที่ตรงไหน เราไม่ทำแบบนั้น เราทำอสุภกรรมฐานเพื่อให้มันหายไป เพื่อกลบมัน
มีเรื่องไร้สาระอีกหลายอย่างที่เราทำ เราพยายามจะทำลายอัตตา เราไม่เคยรู้จักว่าอัตตาคืออะไร เราจำได้แต่ว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี ที่เขาบอกมา แล้วพอมันไม่ดี เราจะทำลายมัน แทนที่เราจะรู้จักว่าอัตตาคืออะไร มันมาจากไหน มันมีแต่ความเลวร้ายมั้ย ถ้ามันมีแต่ความเลวร้าย เอาบัตรประชาชนไปเผาทิ้ง ไม่ต้องใช้
เราแยกแยะอะไรไม่ออก เรามีแต่ความเชื่อ
#เราไม่เคยลงลึกไปในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้ด้วยตัวเราเอง
...โดยที่ไม่ทันจะแยกแยะว่ามันดีหรือไม่ดี
...โดยที่อย่าให้ความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับว่า สิ่งนี้ไม่ดีนะ สิ่งนั้นดีกว่านะ เอาอย่างนี้นะ ไม่เอาอย่างนั้นนะ
...อย่าเพิ่งให้ความเชื่อเหล่านั้นเข้ามาในชีวิตได้มั้ย
แล้วรู้จักทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นตามความเป็นจริงอย่างแท้จริง นี่คือการปฏิบัติธรรม
#เราเห็นชีวิตเพียงแค่ส่วนเสี้ยว เราไม่เคยเห็นมันอย่างเป็นทั้งหมด
เราเห็นทุกอย่าง ยกเว้นตัวเอง
และเมื่อชีวิตเราเป็นแค่ส่วนเสี้ยว ไม่เป็นทั้งหมด เราไม่มีวันที่จะเห็นตามความเป็นจริงได้เลย
#Camouflage
02-07-2565
Sunday Jan 29, 2023
302.ก่อนที่การตื่นรู้จะเกิดขึ้นได้จริง
Sunday Jan 29, 2023
Sunday Jan 29, 2023
บรรยายเมื่อ 25-06-2565
302.ก่อนที่การตื่นรู้จะเกิดขึ้นได้จริง
สันติภาพไม่ว่าจะในครอบครัว ในสังคม หรือในโลกนี้ ไม่สามารถเกิดขึ้นจากการที่คนๆ นึง ยึดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูก
แต่เกิดขึ้นจากการที่คนๆ นึง
...เห็นความเป็นทั้งหมดของตัวเอง
...เห็นความยึดทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวเอง
และการเห็นเรื่องเหล่านั้น...
...จะต้องมีความใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง
ต่อทุกขณะของชีวิต
...จะต้องมีความซื่อตรงต่อทุกขณะของชีวิต
...จะต้องไม่หลงกลต่อการตัดสินในเชิงของคู่ทั้งหลาย ที่แทรกเข้ามาในขณะนั้นๆ
#ให้ทุกอย่างนั้นเปิดออก แบออก
เปิดทุกอย่างออก อย่างเปิดเผย อย่างแท้จริง และเห็นมันทั้งกระดาน
เห็นมันทั้งกระดานอย่างแท้จริง โดยไม่มีไอเดียเกี่ยวกับความรู้ หลักการ หรือตัวอย่างในอดีต ที่จะเข้ามาทำให้การเห็นขณะนี้ของเราบิดเบือนไปจากความจริง
เราต้องเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามจะบอกว่า การเห็นตัวเองของเรานั้น #พร้อมจะถูกบิดเบือนได้อย่างง่ายดาย
ถ้าเราปล่อยให้ความคิด ทฤษฎี ไอเดีย ประสบการณ์ในอดีตของใครสักคนหนึ่ง ที่เราเชื่อว่าเขาเป็นคนที่ถูกต้อง หรือน่าเชื่อถือ แทรกแซงเข้ามาในการเห็นชีวิตนี้ของเรา
ด้วยหัวใจอันใสซื่อนั้น คือ #การเห็นชีวิตนี้ด้วยความเป็นกลางอย่างยิ่ง
แต่ด้วยหัวใจที่ไม่ใสซื่อ เมื่อเราถามคนในโลก ถามว่าเขารู้ไหม อะไรเกิดขึ้นรู้ไหม? เขาบอก เขาก็รู้ แต่ความรู้นั้นอยู่ภายใต้อัตตา
รู้ที่มีความครอบงำ ความเคลือบแฝง ทิฎฐิ หลักการ ความเชื่อของตัวเอง
และเมื่อการเรียนรู้ของบุคคลประเภทนี้เกิดขึ้น ผลลัพธ์คือความขัดแย้ง ที่ขัดแย้งกับคนอื่น และในหลายครั้งจะขัดแย้งกับตัวเอง
เพราะฉะนั้น ความสำคัญก่อนหน้าที่จะตื่นรู้ ก่อนหน้านั้น #เรามีหัวใจอันใสซื่อที่ผมบอกนี้แล้วหรือยัง?
คือ หัวใจที่มีอิสรภาพ จากความรู้ในอดีตทั้งหมด
หัวใจที่มีอิสรภาพ จากหลักการ ความเชื่อ ทิฏฐิ มานะ สิ่งที่ตัวเองยึดถือเอาไว้ อิสรภาพจากสิ่งเหล่านั้นแล้วหรือยัง
ถ้ายังไม่มีหัวใจที่ผมว่านี้ การตื่นรู้ของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นเพียงการตื่นรู้ที่อยู่ภายใต้อัตตาตัวตนของตัวเอง
ซึ่งไม่เพียงไม่มีประโยชน์อะไร แต่ยังทำลายโลกนี้ด้วย
#Camouflage
25-06-2565
Friday Jan 20, 2023
301.ชีวิตเป็นแค่ความหมายของภาษา
Friday Jan 20, 2023
Friday Jan 20, 2023
บรรยายเมื่อ 19-06-2565
การมีชีวิตจริงๆ นั้น ไม่มีที่พึ่ง ไม่ได้ให้ความปลอดภัย
การมีชีวิตจริงๆนั้น เปรียบเสมือนสัตว์ป่าที่อยู่ในป่าในเขา
...มันไม่รู้อะไรล่วงหน้า มันไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับมัน ชีวิตของมันไม่ซ้ำซาก
...เป็นชีวิตที่แค่เผชิญกับขณะนี้ โดยไม่มีทิศทางอะไรต่อมันเลย ไม่มีความหมายของความรู้ คำสอน ทฤษฎีต่างๆ เข้ามาชี้นำทิศทางของชีวิต ต่อสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้
ยกตัวอย่าง เรานักปฏิบัติธรรม เราฟังว่าอะไรเกิดขึ้น ต้องรู้
พอเราเชื่อในความหมายนั้นเข้าไปเต็มหัวใจ เราไม่ยอม...ถ้ามันไม่รู้
#ความหมายของคำสอนนั้นกำกับทิศทางของชีวิตทันที
นักปฏิบัติธรรมเราผู้เคร่งครัด เพ่งเพียรจะรีบสวนกลับขึ้นมาว่า “อ้าว...แล้วถ้าหลงไป จะทำยังไง? ไม่แย่หรือ?”
ผมถามกลับว่า ใช่ไหมเราถูกสอนมา แล้วเรากลัวล่วงหน้า ว่าถ้าหลงไป มันจะแย่
นั่นคือ “ความคิด” ที่กำกับทิศทางของชีวิตจากความหมายของคำสอนเหล่านั้น อีกครั้งหนึ่ง
ถ้าเราไปเชิญหน้ากับสิ่งที่เราบอกว่า “ถ้าไม่รู้ล่ะ มันจะเป็นยังไง” เราจะได้รู้จักความไม่รู้ล่ะ ว่ามันเป็นยังไงจริงๆ
นี่ตัวอย่างง่ายๆ ที่ชีวิตเราไม่จริง...ไม่จริงมานานแล้ว แต่เราเข้าใจว่า เราปฏิบัติธรรมอยู่ เราเพียรอยู่
ความหมายในคำสอน ในหนังสือ ในตำรา และในความเป็นศาสนา มักจะให้ไอเดียกับเราว่า “เราควรจะเป็นยังไง”
เราทุกคนจะต้องไปพิจารณาตรงนี้ให้มันชัดเจนแจ่มแจ้ง
เราทุกคนให้ความสำคัญว่าชีวิตนั้นควรจะเป็นยังไง ในการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน...ควรจะเป็นยังไง ควรจะเห็นยังไง ควรจะมีอะไร ควรจะไม่มีอะไร
ทั้งหมดคือการให้ความสำคัญกับอนาคต
แต่ขณะที่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ #ขณะนี้
สิ่งที่เป็นอยู่จริงในขณะนี้เท่านั้นที่เป็นจริง และเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่แสดงความจริงได้
และการแสดงความจริงของมันนั้น อยู่นอกเหนือความหมายของคำว่า “มันถูก หรือผิด” มันไม่สามารถจะมีความหมายนั้นได้เลย
มันมีหน้าที่เพียงแค่แสดงความมีอยู่ของมัน ความเป็นอยู่ของมัน และเราแค่รับรู้ความจริงของมัน
แล้วไม่ว่าเราจะรับรู้ความจริงของมันได้แค่ไหน ก็คือแค่นั้น นั่นคือความจริงเหมือนกัน
#Camouflage
19-06-2565
Friday Jan 13, 2023
300.อะไรคือการรู้ทุกข์
Friday Jan 13, 2023
Friday Jan 13, 2023
บรรยายเมื่อ 11-06-2565
300.อะไรคือการรู้ทุกข์
เวลาเราพูดคำว่าปฏิบัติธรรม เราคิดถึงอะไรกันบ้าง?
ต้องรู้สึกตัว ต้องมีสติ ต้องมีสมาธิ ต้องมีความสามารถพิเศษบางอย่างในการเห็นสภาวธรรม ต้องไม่หลง สติต้องเร็ว สมาธิต้องแน่น ศีลต้องดี และอื่นๆอีกมากมาย ที่เราแต่ละคนอ่านอะไรมา ฟังอะไรมา แล้วเราก็เอาเข้ามา เพื่อจะมีหรือจะเป็นแบบนั้นให้ได้
เหล่านี้คือสิ่งที่เราทุกคนมีอยู่และเป็นอยู่ เมื่อเราคิดถึงคำว่าปฏิบัติธรรม
แล้วเราก็สามารถที่จะท่องจำ พูดได้ปร๋อเหมือนนกขุนทองว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่อง “อริยสัจ 4” “รู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้จักทางสู่ความพ้นทุกข์”
ท่องได้อย่างเดียว แต่ไม่เข้าใจ
พอท่องอย่างเดียวแต่ไม่เข้าใจ คำว่าปฏิบัติธรรม มันก็เลยกลายเป็นสิ่งทั้งหมดแบบที่ผมบอกในตอนต้นเมื่อกี้นี้
ถ้าเราเข้าใจคำว่า “รู้ทุกข์” ของพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนว่าคืออะไร เราจะเข้าใจว่า หน้าที่ของเราคืออะไรกันแน่
อะไรที่เรียกว่า ทุกข์?
ถ้าเรานิยามสิ่งที่เรียกว่า ทุกข์ คือสิ่งที่เกิด แล้วก็ดับ คือสิ่งที่ไม่เที่ยง ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ ควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นไปตามเหตุและปัจจัย
อะไรคือทุกข์บ้าง?
ใช่แค่ความรู้สึกทุกข์ไหม ใช่แค่ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจไหม
ความสุขเกิดแล้วดับไหม สติเกิดแล้วดับไหม สมาธิเกิดแล้วดับไหม ปัญญาเกิดแล้วดับไหม
ท่านบอกว่าให้ “รู้ทุกข์”
ไม่ได้บอกให้ “มีทุกข์”
เข้าใจที่ผมพูดไหม?
คำถามของผมคือ เราทำอะไรกันอยู่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เราพยายามมีทุกข์...เหลือเชื่อนะ เราพยายามมีสิ่งที่มันเป็นตัวทุกข์
เราฟังแล้วคงจะงงว่า แล้วเราจะปฏิบัติธรรมกันยังไง
เราต้องวางของเก่าทั้งหมดที่เราเคยรู้มาทิ้งลงไปก่อน ลืมทั้งหมดที่เคยรู้มา แล้วลองเริ่มที่นี่ เริ่มที่อริยสัจ 4 นี้
ท่านบอกให้รู้ทุกข์ นั่นหมายความว่า #รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตนี้
ไม่ว่ามันจะคือความทุกข์ ไม่ว่ามันคือความสุข ไม่ว่ามันจะเป็นความรู้สึกตัว ไม่ว่ามันจะเป็นความปกติ ไม่ว่ามันจะเป็นความรู้เนื้อรู้ตัวที่เป็นสมาธิ หรือไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าปัญญาที่เกิดขึ้นในจิตใจ และอื่นๆอีกมากมายที่ไม่มีบัญญัติ แค่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ไหม
...
ทุกวันนี้เราไม่ได้รู้ทุกข์ นักปฏิบัติธรรมเรา พอฟุ้งซ่าน เรารีบไปนั่งสมาธิ เรากลัวความฟุ้งซ่านมาก
เราเห็นหัวใจเราไหม ว่าแท้จริงเราไม่เคยรู้ทุกข์เลย
เรามีหัวใจที่ปนเปื้อนไปด้วยไอเดียต่างๆที่เราได้รับมา เกี่ยวกับว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ว่ามันคืออะไร มันต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ต้องมีอย่างนี้ ต้องมีอย่างนั้น ต้องไม่มีอย่างนั้น ต้องไม่มีอย่างนี้ เต็มหัวสมองเราไปหมด
แล้วสิ่งเหล่านั้นนั่นแหละ ที่ทำให้เราหลุดออกจากการรู้ทุกข์ หลุดออกจากข้อแรกของอริยสัจ 4
แต่เราบอกว่า ที่เรากำลังทำอยู่เนี่ยก็เพื่อวันนึงจะแจ่มแจ้งอริยสัจ 4 มันเป็นไปได้ยังไง เรายังไม่ได้ทำเลย
มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเราเดินถนนคนละเส้น เราไปไหนก็ไม่รู้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่มาเส้นอริยสัจ 4
เส้นที่เราไป ถ้าผมพอจะรู้ ก็คือเส้นของสังสารวัฏ ไม่ว่ามันจะดูดีแค่ไหนก็ตาม มันก็คือสังสารวัฏ
เพราะมันมีเราคนนึงกำลังจะทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะได้อะไรบางอย่างตลอดเวลา
กระทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะหนีอะไรบางอย่างตลอดเวลา
กระทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะแก้ปัญหาอะไรบางอย่างตลอดเวลา
เราไม่เคยแค่รู้ทุกข์
เราไม่เคยเข้าใจโครงสร้างทั้งหมดของชีวิตนี้ ว่ามันคืออะไร แค่นั้น เราไม่เคยทำเรื่องแบบนั้น
พิจารณาให้ดี ถ้าเราเข้าใจคำว่ารู้ทุกข์ของพระพุทธเจ้าอย่างแจ่มแจ้ง ว่ามันคืออะไร
ชีวิตอันแสนพะลุงพะลังของเรา เกี่ยวกับเมื่อเราคิดถึงว่าเราจะปฏิบัติธรรมนั้น มันจะหล่นหายลงไปอย่างมากมายมหาศาลเลย
การรู้จักตัวเอง การรู้ทุกข์ เป็นหน้าที่ของเราเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
และเมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ เราจะไม่มีวันถูกหลอกอีกต่อไป เราจะไม่ถูกพระหรอก เราจะไม่ถูกอาจารย์หลอก เราจะไม่ถูกคนที่เราเชื่อถือหลอก เราไม่ถูกความงมงายหลอกหลอนเรา เราจะไม่ถูกความกลัวหลอกหลอนเรา
มนุษย์เราตกอยู่ภายใต้สิ่งเหล่านี้มานานแสนนานแล้ว
และถ้าเรายังไม่เข้าใจที่ผมพูดถึงเกี่ยวกับการรู้ทุกข์ในอริยสัจ 4 เราจะถูกหลอกต่อไปเรื่อยๆ
แค่รอว่าวันไหนที่ความถูกหลอกนั้นจะเปิดเผยออกมา
#Camouflage
Thursday Jan 05, 2023
299.สงครามระหว่างขณะนี้ กับสิ่งที่ควรจะเป็น
Thursday Jan 05, 2023
Thursday Jan 05, 2023
บรรยายเมื่อ 04-06-2565
ผมอยากให้พวกเราเข้าใจว่า พวกเราเหล่านักปฏิบัติธรรมนั้น เป็นผู้ที่ก่อสงครามภายในใจ ระหว่างสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ กับสิ่งที่ควรจะเป็นอยู่ตลอดเวลา
นี่คือต้นเหตุของความทุกข์ นี่คือต้นเหตุของความสับสน นี่คือต้นเหตุของการแสวงหา นี่คือต้นเหตุของความพยายามบางอย่าง
นึกออกไหมว่า สิ่งที่ควรจะเป็น หรือสิ่งที่เราอยากจะไปถึง ที่เราคิดเอา หรือที่เราเชื่อจากครูบาอาจารย์บอก จากตำราบอก เรามีความคิดของตัวเราเองกับความเชื่อต่างๆว่า #สิ่งที่ควรจะเป็นนั้นสำคัญกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
เราคิดว่าสิ่งที่ควรจะเป็นนั้น เป็นสิ่งที่ดีกว่า เจ๋งกว่า จริงกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
เราคิดว่าสิ่งที่ควรจะเป็น ที่เราจะไปถึงนั้นมีคุณค่ากว่าความโกรธในขณะนี้ นี่คือสงครามในใจที่เราก่อขึ้นเอง นี่คือหัวใจของเรา
สิ่งที่เป็นจริงอยู่ในขณะนี้ เราอยากจะพ้นไปจากมันให้เร็วที่สุด เพื่อจะไปเอาสิ่งที่เรารู้สึกว่ามีคุณค่ามากกว่า ในอนาคตข้างหน้านั้น
อย่าลืมที่ผมบอกว่า ผมให้ทิ้งทุกความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม แล้วเผชิญกับชีวิตจริงๆ ในขณะนี้ของตัวเอง ผมไม่ได้พูดถึงคำว่ารู้ด้วย ผมไม่ได้พูดถึงสติ ผมไม่ได้พูดถึงอะไรทั้งนั้น ลืมเรื่องเหล่านั้นไปก่อน
ลืมเรื่องเหล่านั้น #แล้วรู้จักตัวเอง
เมื่อเรารู้จักตัวเอง เราจะรู้ว่าทำไมเราถึงใช้ชีวิตในโลกผิด ทำไมเราถึงมีความทุกข์ ทำไมเราถึงใช้ชีวิตในการปฏิบัติธรรมก็ผิดอีก
ถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง เราทำอะไรก็ผิดทั้งนั้นแหละ
...
เรามีหน้าที่แค่เผชิญกับชีวิตนี้จริงๆ สิ่งที่เป็นจริงในขณะนี้ สำคัญกว่าสิ่งที่เราคิดว่าควรจะเป็นในอนาคต เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นมายา เป็นภาพฝันของเรา เป็นสิ่งที่เราตัดสินว่ามันดีกว่าขณะนี้
สิ่งที่ผมบอกคือ ผมแค่ต้องการให้เราแต่ละคน #ได้รู้จักการมีชีวิตจริงๆ แค่นั้น ผมไม่ได้บอกว่ามันถูกหรือผิด เราแค่ต้องเป็นคนจริงเท่านั้น
ถ้าเรายังพ้นจากความถูกความผิดไม่ได้ ชีวิตเรามันจริงไม่ได้ซักทีนึง
เห็นมั้ยว่า จริง...จริงๆ...มันจริง แต่จริงลวงๆ อ่ะ มันมีสารพิษเจือปน
ทุกวันนี้ สังคมนักปฏิบัติธรรมเราไปไกล ในทางไกลจากความจริง ไปหาเรื่องถูก หาเรื่องผิด ไปหาเรื่องว่าควรจะเป็นยังไง เราพลัดหลงจากความจริงไปมาก
#จริงของเรานั้นกลายเป็นคำว่าถูก
สิ่งที่เป็นจริงนั้นจะต้องไม่ใช่สิ่งที่มีเราสักคนนึงคอยควบคุมบังคับ หรือคอยสร้างให้มันเกิดขึ้นมา
#เราต้องหายไป สิ่งต่างๆที่เรียกว่ากายกับใจนี้ มันถึงจะแสดงความจริง...จริงๆ
ผมพูดหลายครั้งเหมือนกับเราไปส่องสัตว์ จะต้องให้มันไม่รู้ว่าเราแอบส่องมันอยู่ เราถึงจะเห็นชีวิตจริงๆของมัน
เพราะฉะนั้น คำว่ารู้ คำว่าสติ ที่ผมพูดไปตอนต้นว่ามันมีคุณค่ามาก เราฟังมามาก จนเราอยากจะทำมันขึ้นมาเอง เราอยากจะร่วมขบวนการสร้างมันขึ้นมา และเมื่อเราร่วมขบวนการสร้างมันขึ้นมา มันก็ไม่จริง
อย่าลืมที่ผมบอกว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ไร้ความพยายาม นั่นแปลว่าถ้ามีความพยายามแม้แต่นิดเดียว นั่นคือการแทรกแซง และนั่นไม่จริง
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การที่เราพยายามจะปฏิบัติ หรือการรีบปฏิบัติ หรือหาวิธีปฏิบัติยังไง แต่สิ่งที่เราจะต้องทำ...ถ้าต้องหา #คือหาว่าอะไรคือจริง อะไรที่เป็นสติจริงๆ อะไรที่เป็นรู้จริงๆ
เราต้องรู้ชัดว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้น อันนี้ไม่ใช่ อันนั้นไม่ใช่ อันโน้นไม่ใช่ จนเราค้นพบว่า อะไรเป็นปัจจัย ให้รู้หรือสติที่เป็นจริงนั้นเกิดขึ้น
ถ้าเราค้นพบแล้ว เราจะรู้ว่า ความจริงคำว่ารู้ หรือสตินั้น เป็นผลพลอยได้จากการมีชีวิตจริงๆ
ชีวิตจริงๆ คือ การใช้ชีวิตอย่างเป็นปัจจุบัน ขณะนี้
...
อย่าลืมว่าสิ่งที่ผมสอนทั้งหมด อย่าให้มันกลายเป็นความเชื่อ อย่าให้มันกลายเป็นสิ่งที่ถูก แต่ค้นพบในหัวใจของเราเองว่าสิ่งที่ผมพูดมันเป็นจริง มันเป็นชีวิตจริงๆ
อย่าให้ความเป็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเราเป็นอยู่ได้ กลายเป็นสิ่งที่เราบอกตัวเองว่าเราปฏิบัติถูกแล้ว
แต่ให้ความเป็นอยู่ในขณะนี้อย่างเป็นปัจจุบันนี้ กับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นความรู้สึกด้วยหัวใจของเราเองว่า
...เราได้มีชีวิตที่แท้จริงแล้ว
...เราได้มีชีวิตจริงๆแล้ว
...เราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในความคิด ความคาดหวัง ในสิ่งที่ควรจะเป็นต่างๆ ที่เราเชื่อ
...เราไม่มีชีวิตปลอมๆ แบบนั้นอีกแล้ว
มีใครคิดไหมว่า แล้วถ้าเราได้ใช้ชีวิตจริงๆแล้ว ต่อไปมันจะดีใช่ไหม? เราจะดีกว่านี้ใช่ไหม?
จะเห็นว่าความคิดที่เนื่องด้วยตัวเรานั้น พาเราออกทะเลเสมอ พาเราออกจากความจริงเสมอ มันหลอกเราเก่งเหลือเกิน
ความจริงนั้นไม่มีที่พึ่ง มันไม่รู้จะอิงกับอะไร
แต่สิ่งที่เราอยากจะไปถึง มันมักจะอิงกับความคิดของเราว่ามันดี มันถูก มันอิงกับระบบซักอย่างนึง...ความเชื่อ ทฤษฎี ความอยาก
ชีวิตที่เป็นอิสระ ชีวิตที่ไม่มีความพึ่งพิง ชีวิตแบบนั้นเป็นยังไง? เป็นจริง
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การปฏิบัติที่เราพยายามทำกัน ทีละขั้นทีละตอน
#แต่การปฏิบัติธรรมคือการค้นพบว่าอะไรคือจริง ชีวิตแบบไหนที่เป็นจริง
#Camouflage
04-06-2565