Episodes

Monday Nov 20, 2023

Friday Nov 17, 2023

Saturday Nov 11, 2023
331.ที่มาของกิเลส
Saturday Nov 11, 2023
Saturday Nov 11, 2023
บรรยายเมื่อ 24-06-2566
ที่มาที่สำคัญที่สุดของกิเลส คือ ความสุข
และเมื่อความสุขมีปัญหา นักปฏิบัติธรรมก็เลือกที่จะไม่ทำทั้งหมด
เราตีปัญหาได้ตื้นเขินมาก เราแก้ปัญหาด้วยวิธีกำปั้นทุบดิน
หรือแม้กระทั่งเราทำตามวิธีปฏิบัติที่แพร่หลายกันอยู่ แต่มันก็ไม่พ้นว่า หัวใจนี้มีปัญหากับความสุข ความสุขกลายเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะรู้สึกว่ามันเป็นที่มาของกิเลส
จะเห็นว่าเราเจอกับดักของความแบ่งแยกตลอดทาง และกับดักนั้นใช้ได้ผลเสมอ เพราะคนเรานั้นไม่ค่อยมีปัญญา
เพราะฉะนั้น เมื่อเราเจอว่า ความสุขคือที่มาของกิเลส หน้าที่เรา ที่จะปฏิบัติต่อสิ่งที่เรียกว่าความสุขนั้น คือ แจ่มแจ้งลงไปที่ความสุข ว่ามันคืออะไรกันแน่
ความสุขคำนี้ เป็นแค่บทสรุปทางความคิด ของการรวมกันของผัสสะในทุกอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ความแจ่มแจ้งในสิ่งทั้งหมดที่เรียกว่าความสุข คือการทำลายความเห็นผิด ทำลายการเห็นอย่างผิวเผิน อย่างตื้นเขิน ต่อผัสสะที่น่าพอใจ หรือที่ทนได้ง่าย
บทสรุปในเชิงของความสุขเคลือบการรวมกันอยู่ของมัน ด้วยความเห็นผิด
และเมื่อความแจ่มแจ้งต่อความสุขเกิดขึ้น ชีวิตก็ไม่มีความสุข...มันก็ไม่เชิงแบบนั้น แต่การถ่ายทอดทางภาษามันจำกัด ความสุขที่ผมพูดถึงนี้ ผมพูดถึงความสุขใน part ของความเห็นผิด
เมื่อแจ่มแจ้งความสุขใน part ของความเห็นผิดแล้ว ชีวิตก็จะไม่สามารถจะมีความสุขในแบบนั้นได้อีก
แล้วเมื่อความสุขใน part ความเห็นผิดแบบนั้น ถูกกระจ่างแจ้ง และหมดซึ่งความหลงผิดต่อผัสสะต่าง ๆ ในเชิงของความสุขแบบนั้น
กิเลสต่าง ๆ ที่เคยเป็นปัญหากับชีวิต มันก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ เพราะที่มาของมันนั้นได้สลายไปแล้ว
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมที่ผมพูดอยู่เสมอว่า มันเป็นแค่ความแจ่มแจ้งความเป็นทั้งหมดของชีวิตนี้อย่างลึกซึ้ง
ไม่ใช่ปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติอย่างซื่อบื้อ กำปั้นทุบดิน เพราะนั้นรังแต่จะทำให้ชีวิตการปฏิบัติธรรมของเรานั้นมืดมิดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว จะมีครูบาอาจารย์ที่ดีระดับพระพระพุทธเจ้ามาสอน เราก็จะสามารถทำคำสอนนั้นให้พังพินาศได้ด้วยฝีมือของเราเอง
#Camouflage

Friday Oct 27, 2023
330.ความเมตตา
Friday Oct 27, 2023
Friday Oct 27, 2023
บรรยายเมื่อ 10-06-2566
ความเมตตาในความหมายของมนุษย์เรา แท้จริงเป็นแค่ชื่อ
เราตั้งชื่อให้กับปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบของการให้การช่วยเหลือ ว่า “เมตตา”
แต่ “เมตตาที่แท้จริง” คืออะไร?
คือความเข้าใจว่า ชีวิตนี้นั้น เป็นแหล่งกำเนิด และเป็นทางผ่านขององค์ความรู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้
ชีวิตนี้ เป็นแค่แหล่งข้อมูลข่าวสารต่อจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้
การที่ชีวิตชีวิตหนึ่งมีความสามารถ ที่จะส่งผ่านการกระทบกระเทือน อารมณ์ ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้น ส่งผ่านสิ่งเหล่านั้นอย่างบริสุทธิ์ โดยที่ไม่มีใครสักคนหนึ่งบิดเบือนมัน ไม่มีใครสักคนหนึ่งต้องการจัดการอะไรเกี่ยวกับมัน
...
ฟังธรรมะที่เกี่ยวข้องกับปัญญามาก ๆ ก็ต้องระวังไม่ให้ปัญญามันเกินหน้าความจริงของจิตใจ ที่มันจะต้องทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ
เช่น ถ้ามีความรู้สึกผิดเกิดขึ้น เราจะต้องลงลึกลงไปที่นั่น ไม่ใช่รีบใช้ทฤษฎีในเชิงของปัญญามากลบความรู้สึกผิดนั้น
แต่จะต้องลงไปที่นั่น ลงไปที่ความรู้สึกผิดนั้น ว่ามันคืออะไร มันเกิดขึ้นยังไง มันมาจากไหน?
ไอเดียต่าง ๆ จะเกิดขึ้นมากมาย เช่น เราไม่ควรจะรู้สึกผิดมั้ย หรือการที่มีความรู้สึกผิด ก็ถูกแล้ว?
ความคิดจะรุมเข้ามาในชีวิตของเราขณะนั้น และเรามีหน้าที่ที่จะต้องเข้าใจทุกย่างก้าวของความคิด ว่ามันคืออะไร ความคิดนี้มาได้ยังไง?
และความคิดจะบอกให้เราไปที่ไหนสักที่หนึ่งเหมือนกัน แล้วเราก็ต้องเข้าใจว่า มันจะพาเราไปที่นั่น เพราะอะไร?
ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา คือ องค์ความรู้อันยิ่งใหญ่ต่อจักรวาลนี้
และความแจ่มแจ้งที่เกิดขึ้น ต่อทุกอารมณ์ความรู้สึก และความคิดที่เกิดขึ้น คือ การส่งผ่านความรัก และความเมตตาต่อจักรวาลนี้
เพราะฉะนั้น ชีวิตคนคนนึงจะเป็นความเมตตาอันสูงสุดได้นั้น จะต้องมีปัญญาอย่างยิ่งที่จะเข้าใจความมีอยู่ และการเกิดขึ้นมาของชีวิตนี้อย่างแจ่มแจ้ง
#Camouflage
10-06-2566

Tuesday Oct 17, 2023
329.เมื่อผู้รู้และผู้หลง รวมกันเป็นหนึ่ง
Tuesday Oct 17, 2023
Tuesday Oct 17, 2023
บรรยายเมื่อ 27-05-2566
วิธีการปฏิบัติธรรม ที่ผมเรียกว่า การถอยกลับ และการแจ่มแจ้ง รู้จักตัวเองนั้น เป็นกระบวนการที่ชีวิตนี้มีอยู่แล้ว ทำได้อยู่แล้ว
แต่ปัญหา คือ เราไม่เคยถอยกลับ เรามีแต่เดินหน้า และทำให้ฟังก์ชั่นที่ชีวิตของมนุษย์มีอยู่แล้วนั้น ไม่ได้ทำงาน
เราเดินหน้า แม้กระทั่งเรื่องนินทาคนอื่น เวลาเรานินทาคนอื่น เรารู้จักเค้าดี ยิ่งกว่าพ่อแม่เค้าอีก เราเป็นกูรูในด้านการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเลย
มีใครสอนเรื่องแบบนี้ให้เรามั้ย? ทุกคนตอบได้เลยว่า ไม่ต้องสอน แค่มองปร๊าดเดียว ก็รู้แล้วว่าคนนี้นิสัยเป็นอย่างไร
แต่มองตัวเอง ไม่เคยรู้เลยซักอย่าง ทั้ง ๆ ที่มันใช้กลไกเดียวกัน มันใช้วิธีเดียวกัน มันมีอยู่แล้ว
แต่การเห็นตัวเอง มันยาก
คำว่า ยาก กับ กลไกที่มีอยู่แล้วในชีวิต ไม่เหมือนกัน
ชีวิตนี้มีเครื่องมืออยู่แล้ว แต่มันยาก ง่าย สำหรับคนแต่ละคน ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับปัญญา ความใส่ใจ ความเพียร ความไม่หนี ความกล้าหาญ ความเป็นกลาง
ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่เราพยายามจะฝึกให้มี
แต่สิ่งเหล่านี้ ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือ สติ สมาธิ ปัญญา มันไม่ได้เกิดขึ้นจากการฝึกให้มี
แต่มันคือ ผลผลิตจากการถอยกลับเข้าไปในชีวิต และแจ่มแจ้งกับชีวิตนี้
มันคือสิ่ง ๆ เดียวกันในกลไกนี้
เครื่องมือนี้ประกอบด้วย สติ สมาธิ และปัญญา อย่างแบ่งแยกไม่ได้
แต่เราไปผลิตสิ่งเหล่านั้น ขึ้นมาด้วยตัวเราเอง ซึ่งมันเหมือนของก๊อปเกรดเอที่เซินเจิ้นเฉยๆ
เพราะฉะนั้น ให้เราเข้าใจการ Approach ที่ถูกต้อง แล้วเราถึงจะรู้จักว่า วิธีปฏิบัติธรรมคืออะไรกันแน่
แล้วเราจึงจะเข้าใจว่า สิ่งที่เราอยากจะฝึกทั้งหมด สิ่งที่เราอยากจะมีทั้งหมด ตั้งแต่ศีล สติ สมาธิ ปัญญา หรือกระทั่งความหลุดพ้น หรือแม้กระทั่งชีวิตที่เป็นปัจจุบัน
มันเกิดขึ้นจากที่นี่ มันเป็นผลผลิตจากความแจ่มแจ้ง หรือพูดได้ว่า มันคือ สิ่ง ๆ เดียวกันกับความแจ่มแจ้ง
#Camouflage
27-05-2566

Thursday Oct 05, 2023
328.แจ่มแจ้งวิธีคิดที่มีเราเป็นศูนย์กลาง
Thursday Oct 05, 2023
Thursday Oct 05, 2023
บรรยายเมื่อ 13-05-2566
เราต้องแจ่มแจ้งในไอเดียที่เราคิดอยู่เสมอว่า
“เรา” เป็นคนที่ทุกข์
และ “เรา” จะปฏิบัติธรรม
เพื่อ “เรา” จะพ้นทุกข์
เพื่อ “เรา” จะเป็นพระอรหันต์
เพื่อ “เรา” จะไม่เกิดอีกแล้ว
เราต้องแจ่มแจ้งวิธีคิดทั้งหมดนี้ ว่ามันไม่มีอยู่จริง
ถ้าไอเดียเหล่านั้น ยังไม่ถูกสำรวจตรวจสอบ ด้วยปัญญาอย่างแท้จริงของเรา เราจะคอยตกเป็นเหยื่อของมันในที่สุด
หลังจากเราแจ่มแจ้งในโครงสร้างของวิธีคิด ที่มีเราเป็นศูนย์กลาง ว่าทั้งหมดนั้น มันไม่ใช่เรื่องจริง
เพราะคำว่า “ความเป็นเรา” นั้น มันปรากฏขึ้นมา แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น
ถ้าไม่มีความเห็นผิดต่อเรื่องชั่วคราวเหล่านั้น นั่นแปลว่า ชีวิตนั้นไม่มีไอเดีย ว่า
“เรา” คือ ผู้ที่เป็นทุกข์
และ “เรา” ต้องการกระทำบางอย่าง
เพื่อ “เรา” จะหลุดพ้น หรือ “เรา” จะพ้นทุกข์
ชีวิตที่ไม่หลงเหลือไอเดียเหล่านั้น เป็นอย่างไร?
เป็นปัจจุบัน ไม่มี “เรา” ในขณะนี้ ที่จะตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้น และหาทางแก้ไข เพื่อให้ “เรา” ในอนาคตได้รับผลที่ดีงาม
ชีวิตที่เป็นปัจจุบันนี้ ไม่มีเจตจำนงของมิจฉาทิฏฐิ หรือ “ความเป็นเรา”
ใช่มั้ยที่ชีวิตแบบนั้น เป็นชีวิตที่ตัวมันเอง มีความเป็นกลางต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตขณะนี้ ไม่ว่าขณะนี้จะคือ ความทุกข์ ความสุข ความเศร้า ความหดหู่ ความโกรธ หรืออารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายที่เกิดขึ้น
#Camouflage
13-05-2566

Wednesday Sep 20, 2023
327.เห็นภูเขา ไม่ใช่ภูเขา
Wednesday Sep 20, 2023
Wednesday Sep 20, 2023
บรรยายเมื่อ 15-04-2566
เมื่อชีวิตเป็นจริงได้ ชีวิตทั้งหมดจะเป็นการปฏิบัติธรรมด้วยตัวมันเอง
นั่นหมายความว่า การปฏิบัติธรรมที่เราเคยเรียนมาทั้งหมด ไม่ว่าจะคืออะไรก็ตาม มันไม่ใช่เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งของชีวิต ที่เราจะต้องมีสตินะ เราต้องมีสมาธินะ เราต้องเจริญปัญญานะ
เพราะกระบวนการคิดเหล่านั้น คือมิจฉาทิฏฐิ คือมีเราคนนึง จะเป็นผู้ที่ได้รับผลข้างหน้า เราจะกลายเป็นพระอรหันต์
แต่ถ้าเราอยู่ในกระบวนการ “เห็นภูเขา ไม่ใช่ภูเขา” จนเราเริ่มแจ่มแจ้งกับชีวิตมากขึ้น ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง จนสามารถจะมีชีวิตจริง ๆ ได้
กระบวนการของธรรมชาติ ของชีวิต ด้วยตัวมันเอง มันมีความตระหนัก ชัด ที่จะมีชีวิต ที่เป็นการปฏิบัติธรรม
หรือโดยสรุปย่อลงมา ก็คือ มีชีวิตที่เป็นความแจ่มแจ้ง ต่ออะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
เราไม่สามารถจะหยุดกระบวนการของชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมได้เลย นี่คือ การปฏิบัติธรรม
เมื่อชีวิตนี้ เริ่มขึ้นแล้ว
ไม่มีอะไรหยุดมันได้
แต่ถ้าการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งในชีวิต ความรู้สึกของเราก็คือ โอ๊ย แย่จัง วันนี้ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย วันนี้ปฏิบัติน้อยไป
ถ้าเรายังมีความคิดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาในชีวิตการปฏิบัติของเรา เราจะต้องรู้ไว้อย่างชัดเจนว่า เรายังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย แม้แต่นิดเดียว และเราไม่รู้ด้วยว่า อะไรคือการปฏิบัติธรรม
#Camouflage
15-04-2566

Wednesday Sep 06, 2023
326.อะไรที่เราคิดออกได้ นั่นยังไม่ใช่
Wednesday Sep 06, 2023
Wednesday Sep 06, 2023
บรรยายเมื่อ 25-03-2566
เรารู้มั้ยว่า เราเกิดมาพร้อมกับอะไร?
ชีวิตนี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับอวิชชา อวิชชา คือ ความหลงผิดทั้งหมดต่อชีวิตนี้
แล้วชีวิตของเรา อะไรคือจริง?
ความจริงของชีวิตนี้ที่เป็นอยู่ คือ ความหลงผิด กิเลส ตัณหา ความอยาก ความดิ้นรน ความเลวร้ายทั้งหลายที่อยู่ในจิตใจ
แต่บรรยากาศของคำสอนต่าง ๆ พยายามให้เราเปลี่ยนมัน นั่นคือความหลงผิดซ้ำสองขึ้นไปอีก คืออย่าเป็นแบบนี้ อย่ามีสิ่งเหล่านี้ ทำลายมันซะ
แต่เราทุกคนรู้ว่า คำสอนที่แท้จริงคือ เราต้องเห็นโลกนี้ตามความเป็นจริง
แต่เห็นมั้ยว่า สิ่งที่เราทำ คือ เราพยายามทำลายความจริง ไม่ใช่เห็นตามเป็นจริง
ความจริงของเราคือความลวง เพราะมันมักอยู่ข้างหน้าเสมอ
และนั่นหมายถึงเป็นสิ่งที่เราไม่มีอยู่ในตอนนี้ เช่น ความบริสุทธิ์ ความไม่มีกิเลส ความเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอรหันต์ หรือไปเป็นเทวดานางฟ้า
สิ่งที่เราเชื่อทั้งหมด สิ่งที่เป็นความเชื่อ เป็นความลวงนั้น กลับกลายเป็นความจริงในหัวใจของเรา
แต่สิ่งที่เป็นความจริงทั้งหมดในชีวิตนี้ มีอยู่จริงในตอนนี้ เรากลับมองไม่เห็นมัน อยากทำลายมัน เราไม่อยากมีมัน
#Camouflage
25-03-2566

Wednesday Aug 23, 2023
325.ทางสายกลางที่เราไม่เคยรู้จัก
Wednesday Aug 23, 2023
Wednesday Aug 23, 2023
บรรยายเมื่อ 11-03-2566
พระพุทธเจ้าบอกว่า ทางสายกลางไม่ใช่ทางสุดโต่งทั้งสองข้าง มันหมายความว่าอะไรกันแน่?
การตัดสินเป็นทุกข์ งั้นไม่ตัดสิน
กิเลสเป็นของไม่ดี งั้นไม่มีกิเลส
ฟุ้งซ่านเป็นความหลง เป็นโมหะ งั้นสงบ
ใช่ไหมว่าทั้งหมดนี้ คือทางสุดโต่งทั้งสองข้างเหมือนกัน
เห็นไหมว่า ที่เราพูดว่าตัวเองนั้นกำลังปฏิบัติตามมรรค เดินทางสายกลาง หัวใจเรา…ไม่ใช่เลย
หัวใจเราคือ ทางสุดโต่งทั้งสองข้างเหมือนเดิม
เราไม่เพียงแค่อยากอยู่อีกข้างนึง เราด่าอีกข้างนึงด้วยว่า ห่วย แย่ สกปรก
เพราะฉะนั้น ลงลึกลงไป เห็นแบบนี้ เห็นโครงสร้าง เห็นชีวิต เห็นความเป็นไปของความครอบงำจากสิ่งที่เราเชื่อทั้งหมด แบบนี้
...
ทางสายกลางจะเกิดขึ้น เมื่อเกิดความแจ่มแจ้ง ว่าอะไรในชีวิตที่เป็นความสุดโต่งบ้าง
...
การจะมีชีวิตที่จะเข้าใจของทั้งสองข้าง หรือของที่เรียกว่าความสุดโต่งทั้งสองข้าง #ชีวิตนั้นจะต้องไม่หยุด ที่จะลงลึกกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มันพอใจกับชีวิตที่เป็นแบบนี้อยู่แล้ว นั่นแปลว่า มันใช่
เราจะต้องลงลึกไป ว่ามันใช่จริงไหม
...
กว่าที่คนคนนึงจะมาถึงจุดที่สามารถจะมีชีวิตที่แท้จริงได้ ชีวิตที่พ้นออกจากทุกความคิดและความเชื่อได้
ไม่ใช่เพียงแค่ผมบอกว่า ต้องมีชีวิตแบบนั้น เพราะนั่นเป็นแค่ความเชื่อใหม่
แต่หมายถึงว่า คนคนนึงจะต้องสำรวจ ตรวจสอบ ชีวิตทั้งหมดของตัวเอง และแจ่มแจ้งกับความจอมปลอมของมันทั้งหมด
และชีวิตที่แท้จริง จึงจะสามารถเกิดขึ้นได้ และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติธรรม
11-03-2566
#Camouflage

Friday Aug 11, 2023
324.ปัจจุบันไม่มีการเลือก
Friday Aug 11, 2023
Friday Aug 11, 2023
บรรยายเมื่อ 25-02-2566
การรู้ หรือกิริยารู้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว มันไม่ใช่การฝึก ไม่ใช่ฝึกอะไรบางอย่าง เพื่อจะผ่านเข้าสู่สิ่ง ๆ นี้
การฝึกอะไรบางอย่าง มันคือ #การสร้างสิ่งใหม่ขึ้น สิ่งใหม่ที่เรารู้จักกันดีในนามของ “ผู้รู้” แล้วเราก็เรียนรู้กันมาเยอะว่า สุดท้าย ผู้รู้ คือ อวิชชาตัวใหญ่ที่สุด และเราต้องทำลายมัน และเราก็เคยหลงเชื่อว่า ถ้าเราไม่มีมัน เราจะหลง
ด้วยการสอนแบบนั้น ทำให้มนุษย์คนนึงที่อยากปฏิบัติธรรมนั้น กลัวหลง #ความกลัวหลงได้ครอบงำชีวิต จากคำสอนเหล่านั้น
เราไม่สนใจจะรู้แล้วว่า แท้จริงการรู้นั้น มีอยู่แล้ว…เราไม่สนใจแล้ว หลับหูหลับตาฝึกก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวจะหลง
เพราะนั้น แต่ละขั้นตอนของชีวิต ที่เรารับคำสอนใด ๆ มาก็ตาม ถ้าเราไม่เคยพิจารณา เห็นวิธีคิด ว่าเราได้รับอะไรบางอย่างเข้ามาต่อชีวิตนี้ เราจะถูกสิ่งเหล่านั้นหลอกเราตลอดชีวิตจนตาย
คำว่า “ปัจจุบัน” นั้น ไม่มีการเลือก
ปัจจุบัน คือ เป็นอย่างนี้ ขณะนี้
รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มันจะรับรู้
การเลือกว่าอะไรสักอย่าง เช่น ลมหายใจ หรือความรู้สึกตัว หรืออะไรก็ตามที่เราเรียนมาทั้งหมด การเลือกสิ่งเหล่านั้นสักอย่างหนึ่ง แล้วถูกให้ความหมาย ว่าการเลือกสิ่งหนึ่งนั้น คือปัจจุบัน
เราต้องเห็นกระบวนการเหล่านี้อย่างละเอียด ว่าแท้จริงแล้วการกระทำแบบนี้ เกิดขึ้นจากความจำได้ในความรู้ที่รับมานั้น
ทันทีที่เราจำได้ และทันทีที่เราเชื่อว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น จึงจะเป็นปัจจุบัน แล้วเราก็ลงมือปฏิบัติตามนั้น ชีวิตทั้งหมดนั้นได้อยู่ภายใต้กะลาของอดีตเรียบร้อยแล้ว
และหลังจากนั้น เราก็รู้สึกว่า เรารู้แล้ว นี่ไง ปัจจุบัน ปัจจุบันคืออยู่กับลมหายใจอยู่ ปัจจุบันของเราคือรู้สึกตัวอยู่ เรารู้สึกได้ถึงความเป็นปัจจุบันจริงๆ
แต่ที่ผมพูดเสมอ และพูดมานานแล้วว่า “มันเป็นแค่ปัจจุบันในอดีต”
...
คำว่าปัจจุบันนั้น ไม่มีการเลือก
คำว่า ไม่มีการเลือก หมายความว่า หัวใจของชีวิตที่เป็นปัจจุบันนั้น ไม่มีความแบ่งแยก ไม่มีอะไรดีกว่าอะไร
รู้ว่ามีลมหายใจเกิดขึ้น กับรู้ว่ามีความคิดเกิดขึ้น...เท่ากัน
รู้ว่าขณะนี้ไม่มีความปรุงแต่งใด ๆ รู้ว่าขณะนี้มีความปรุงแต่งเกิดขึ้น...เท่ากัน
...
เราสามารถคิดออก ว่าภาพในอนาคตที่เราจะเป็น มันเป็นยังไง เราจะเป็นอย่างนั้น ได้ความรู้สึกแบบนั้น เราพอจะคิดออก
นี่คือนัยยะของการปฏิบัติตามรูปแบบของความคิดอันหนึ่ง ที่เราเชื่อ
แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง สิ่งที่เรียกว่า “ปัจจุบัน” สิ่งที่ผมเรียกว่า “ชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4”
มันไม่สามารถให้ความรู้สึกถึงการคาดเดา การคาดการณ์ หรือความรู้สึกก้าวหน้า หรือการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีความรู้สึกทั้งหมดนี้ที่ผมพูดเลย
เพราะชีวิตที่เป็นปัจจุบัน และเป็นอริยสัจ 4 ไม่มีใคร คอยได้รับ หรือตัดสินตัวเองว่า ไม่ได้รับอะไรทั้งนั้น
และกระบวนการของชีวิตที่เป็นปัจจุบันนี้เอง คือการที่ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งจะได้รู้จักกันเปลี่ยนผ่านอย่างฉับพลันและสิ้นเชิง
โดยที่ผลลัพธ์บางอย่างที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านนี้ของชีวิต จะเป็นสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่ง ไม่สามารถจะคิดออกได้เลยว่า มันจะเป็นแบบนี้
#Camouflage
25-02-2566

Friday Jul 28, 2023
323.ชีวิตที่หยั่งวัดไม่ได้
Friday Jul 28, 2023
Friday Jul 28, 2023
บรรยายเมื่อ 11-02-2566
คำว่า “มายา” เป็นภาษาสันกฤต คำแปลหนึ่งคือ สิ่งที่วัดได้ ประเมินค่าได้ เรียกว่าให้มูลค่าหรือคุณค่า หรือหยาบๆ ก็คือ วัดกว้าง ยาว สูง ได้
เราปฏิบัติธรรม เราต้องการจุดจบ จุดจบนั้น คืออะไร?
คือ ไม่มีกิเลส ไม่กระเทือน ไม่มีตัวตน บริสุทธิ์ มีศีลบริบูรณ์ มีสติบริบูรณ์ หรือกระทั่งจุดจบ คือการที่เราไม่ต้องการเกิดอีกแล้ว แล้วเราเชื่อเรื่องจุดจบทั้งหมดนี้ ว่าเป็นเป้าหมายที่เราจะไปถึง และเราทำทุกอย่างที่ถูกเรียกว่า วิธีปฏิบัติธรรม แลกด้วยชีวิตก็ยอม เพื่อไปถึงจุดจบนั้น
จุดจบทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่วัดค่าได้ เป็นสิ่งที่ถูกพูดออกมาให้เป็นรูปธรรมอันหนึ่งได้ เป็นรูปแบบนึงของชีวิตที่เรานึกภาพออกได้ และสิ่งใด ๆ ก็ตามที่วัดค่าได้ สิ่งนั้นเป็นมายา
...
ชีวิตนี้ถูกตีตรา วัดค่า ประเมินค่าอยู่ตลอดเวลา และถ้าชีวิตเรานี้ ยังเป็นชีวิตที่ถูกอะไรบางอย่างภายนอก วัดค่าเข้ามาได้ นั่นแปลว่า ชีวิตทั้งชีวิตของเราในทุกลมหายใจ เป็นแค่มายา
ทั้งแท่งของชีวิตของเรานั้น ปลอม
เราไม่เคยรู้จักชีวิตที่หยั่งวัดไม่ได้
ชีวิตที่วัดค่าได้เป็นมายา ชีวิตที่ไม่เป็นมายา คือ ชีวิตที่หยั่งวัดค่าไม่ได้
การปฏิบัติธรรมคือการค้นพบชีวิตแบบนั้น
แต่เราไม่ทำแบบนั้นกัน เราเสียเวลา 10 20 30 ปี ตลอดชีวิตของเรา ปฏิบัติธรรมภายใต้มายา ภายใต้ชีวิตที่คอยประเมินและวัดค่าชีวิตนี้อยู่ตลอดเวลา เราหลงอยู่ในนั้น
...
อะไรคือชีวิตที่หยั่งวัดค่าไม่ได้ ผมจะตอบได้ยังไง ในเมื่อมันหยั่งวัดค่าไม่ได้
เมื่อเราพบว่า ชีวิตที่หยั่งวัดได้ทั้งหมด ยังไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง ประตูจะค่อย ๆ เปิดออก ความหลงผิดจะค่อย ๆ หายไป
กระบวนการที่จะรู้จักว่า ชีวิตแบบไหนที่ไม่จริงบ้าง คือกระบวนการที่เรียกว่า “ความแจ่มแจ้ง” ในชีวิตนี้
ความแจ่มแจ้งในกระบวนการทั้งหมด ที่กำลังเกิดขึ้นและชี้นำชีวิตนี้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า “อริยสัจ 4”
...
ชีวิตไม่มีจุดจบ เพราะชีวิตเป็นจุดจบอยู่แล้ว
ชีวิตนั้นเป็นกระแสที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่ความไม่สิ้นสุดนั้นเอง คือจุดสิ้นสุดของมัน
ความไม่สิ้นสุดนั้นเอง คือความเข้าใจว่าชีวิตนี้ไม่สิ้นสุด คือความสิ้นสุดของชีวิตนี้
ชีวิตคือสิ่งที่เคลื่อนไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น แม้เราตาย มันก็ถูกกระจายออกไปเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วทุกอย่างก็เคลื่อนต่อไป เปลี่ยนแปลงต่อไป ไม่มีวันจบ
เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นจุดจบทั้งนั้น
แล้วเราถึงจะเข้าชีวิตที่แท้จริง
ชีวิตที่แท้จริง คือ ชีวิตที่หยั่งวัดไม่ได้
#Camouflage
11-02-2566

Thursday Jul 20, 2023
322.เพราะไม่เข้าใจความสุข
Thursday Jul 20, 2023
Thursday Jul 20, 2023
บรรยายเมื่อ 08-02-2566
ชีวิตเราอยู่ใน Process ไม่แจ่มแจ้งตัวเอง...วิ่งแสวงหาความสุข ไม่แจ่มแจ้งตัวเอง...วิ่งแสวงหาความสุข ไม่แจ่มแจ้งตัวเอง...วิ่งแสวงหาความสุข กลบ “ขณะนี้” ไปเรื่อยๆ
อะไรทำให้เราอยู่ที่นี่ไม่ได้?
อะไรที่ทำให้เราต้องออกแสวงหา ออกไปได้รับ?
แปลว่า สิ่งนั้นยังไม่ถูกเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ว่าการได้รับสิ่งนั้นคืออะไร ให้ความสุขอย่างไร ทำให้เราพอใจได้อย่างไร
เราไม่เพียงจะต้องแจ่มแจ้งกับตัวเองในขณะนี้ว่า ดิ้นรนแล้ว ทนไม่ไหว ไม่อยากอยู่กับตัวเอง อยากได้ความสุข
แต่เราจะต้องแจ่มแจ้งต่อสิ่งที่จะไปถึงด้วยว่า เราจะได้รับอะไร ผัสสะแบบไหนที่เราต้องการ ได้รับแล้วเป็นอย่างไร มันให้ความสุขเราอย่างไร
ถ้าสิ่งที่จะไปถึงนั้นถูกแจ่มแจ้ง ทุกอย่างจะเปิดออกหมด และอะไรก็ตามที่ถูกเปิดออกหมด จะไม่มีอะไรให้น่าสนใจอีกแล้ว
และตัวที่อยากได้ความสุขนั้น จะหมดที่ไป จะอยู่ที่นี่ และจะไม่มีไอเดียของการแสวงหาความสุข
จริง ๆ แล้ว ไอเดียของการแสวงหาความสุขนั้นเอง ก็คือความทุกข์ในขณะนี้ เพราะไม่เข้าใจความสุขข้างหน้า จึงเกิดไอเดียนั้น ที่จะแสวงหา และได้รับไปเรื่อย ๆ
แต่ทันทีที่ความสุขถูกเข้าใจ ไอเดียที่ถูกกระตุ้นเร้า ให้ไปแสวงหานั้นจะหายไป เพราะไม่มีความสุขข้างหน้าที่รออยู่ ไอเดียที่จะหาความสุขนั้น ก็เกิดขึ้นไม่ได้
เมื่อไอเดียที่จะแสวงหานี้เกิดไม่ได้ ในขณะนี้ที่บอกว่า มันเป็นทุกข์ และต้องการการเติมเต็มหรือต้องการได้รับบางอย่าง มันก็ไม่มีความรู้สึกนี้ด้วย
#Camouflage
08-02-2566

Wednesday Jul 12, 2023
321.เก็บเล็กเก็บน้อยต่อจากคลิป 320
Wednesday Jul 12, 2023
Wednesday Jul 12, 2023
บรรยายเมื่อ 28-01-2566

Thursday Jun 29, 2023
320.ใส่ใจ...ความไม่หลง
Thursday Jun 29, 2023
Thursday Jun 29, 2023
บรรยายเมื่อ 28-01-2566
ธรรมชาติของมนุษย์เรานั้น จะมีความใส่ใจต่อชีวิต ก็ต่อเมื่อมีความทุกข์ เพราะเราทุกคนไม่อยากทุกข์
ถ้าเราจน เราจะหาทางรวย
ถ้าเราทุกข์ เราจะหาทางมีความสุข
ถ้าเราโดนบีบบังคับ เราจะหาทางอิสระ
นี่คือกระบวนการดิ้นรนที่ตื้นที่สุดของมนุษย์
คนที่เห็นความตื้นเขินของความดิ้นรนแบบนี้ เขาจะเริ่มใส่ใจชีวิต เริ่มใส่ใจว่า
...เขาทุกข์ได้ยังไง?
...ความทุกข์มาจากไหน?
...ทำไมถึงเกิดความดิ้นรนแบบนี้?
แต่เบื้องต้น เราใส่ใจเฉพาะความทุกข์ที่ใหญ่ ๆ ความทุกข์ที่หนักหนาเท่านั้น เพราะมันสร้างภาระที่หนักหนาให้กับชีวิตมาก
ในขณะที่ผมกำลังบอกว่า #เราต้องใส่ใจกับทุกเรื่อง ไม่ว่าความทุกข์นั้นจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
เพราะไฟกองเล็กนั้น สามารถจะกลายเป็นกองใหญ่ได้เสมอ และไฟกองใหญ่นั้น มักจะเกิดขึ้นจากกองเล็กเสมอ
ถ้าเราใส่ใจแต่ไฟกองใหญ่ มันเหมือนว่าเราพยายามจะดับไฟกองใหญ่ และความใส่ใจของเรามีแค่น้ำ 1 ถัง แค่นั้น
เราได้เพียงทำให้กองไฟนั้นเล็กลง แต่ไม่ได้ดับไป
และเมื่อกองไฟนั้น เล็กลงแล้ว นั่นหมายความว่า ความทุกข์เบาบางลงแล้ว
นั่นหมายความว่า เรารู้สึกมีความสุขขึ้นแล้ว
และนั่นหมายความว่า ที่เหลือช่างมันเถอะ
และนั่นหมายความว่า ชีวิตเป็นความปล่อยปละละเลย
และนั่นหมายความว่า ชีวิตเป็นความหลงเหมือนเดิม!
ผมไม่ได้บอก ให้เราแค่ใส่ใจต่อความทุกข์ แต่ผมบอกว่า เราต้องใส่ใจต่อ #การแสวงหาความสุขด้วย
และใส่ใจไปถึง #การได้รับความสุขด้วย
และใส่ใจไปถึงว่า #อะไรกันแน่ที่เป็นตัวรับความสุข
จนเรามีความชัดเจนและแจ่มแจ้งในเรื่องของความสุข
ผมเคยพูดว่า ความสุขนั้นมีส่วนของระดับพื้นฐาน และมีส่วนของความสุขที่เกิดขึ้นจากความปรุงแต่งของความคิด ในการได้รับความสุขนั้น ๆ
และส่วนที่เป็นความปรุงแต่งจากความคิด ในการได้รับผัสสะอะไรก็ตามในขณะนั้น เป็นส่วนที่มนุษย์เราเสพติด
แต่ส่วนความสุขขั้นพื้นฐานที่ไม่เกี่ยวข้องกับความปรุงแต่งต่อผัสสะนั้น ๆ เป็นความสุขที่มนุษย์มีความสามารถที่จะรับได้ โดยไม่ถูกครอบงำให้เสพติด
บทสรุปแบบนี้ ที่ผมบอกเราทุกคน ไม่ได้เกิดขึ้นภายในวันเดียว เหตุการณ์เดียว และไม่ใช่ทฤษฎี ที่บอกว่า เราต้องเข้าไปศึกษาที่ตรงนี้
แต่บทสรุปแบบนี้ เกิดขึ้นจากการที่เราใส่ใจ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ผมบอก คือ การแสวงหาความสุข
และเข้าใจแจ่มแจ้งในการได้รับความสุข และแจ่มแจ้งว่าอะไรคือความสุข
เราต้องเริ่มจาก ที่ที่ตื้นที่สุด ปรากฏอยู่ข้างหน้าเราชัดที่สุด และลึกลงไปในนั้นด้วยตัวเราเอง
และนอกจากนี้ เรายังต้องแจ่มแจ้งว่า #ความคิดนั้น ควบคุมชีวิตยังไง ไอเดียต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมามากมาย ตลอดทั้งวัน มันกำหนดทิศทาง และควบคุมชีวิตเรายังไง
เมื่อความคิดหนึ่งเกิดขึ้น ไอเดียหนึ่งเกิดขึ้น เกิดอะไรขึ้นต่อ เกิดอะไรขึ้นอีก?
เกิดสารคัดหลั่งอะไร ที่มันบีบบังคับ ส่งผลแห่งความบีบคั้นบางอย่างให้กับเรา ให้กับชีวิตนี้?
เราเคยเห็นกระบวนการทำงานของความคิดจริง ๆ ไหม?
หรือชีวิตเราเป็นแค่ ชีวิตที่อยู่ภายใต้ความคิด และแจ่มแจ้งในเนื้อเรื่องและความรู้สึกต่าง ๆ ขณะที่ชีวิตกำลังอยู่ภายใต้ความคิดนั้น
เราแจ่มแจ้งความคิด หรือเราแจ่มแจ้งเรื่องราวของความคิด?
...
เราอาจจะคิดว่า ถ้าเราใส่ใจทั้งหมดแบบที่ผมบอกนี้ แล้วชีวิตเราจะเหลืออะไร?
เราจะไม่ได้รับความสุข หรือการได้ทำอะไร ที่เราชอบ หรือที่เราสนใจเลยอีกไหม?
ชีวิตคงจะจืดชืด และดูไม่น่ามีความสุขเลย
สิ่งที่ผมจะบอกได้ก็คือ มันเหมือนจะเป็นอย่างที่เราคิดนั่นแหละ แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว
มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดหรอก แต่ก็ไม่ใช่ ไม่เป็นอย่างที่เราคิด
เราคิดไม่ออกหรอกว่า จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เมื่อชีวิตทั้งชีวิตไม่เป็นความหลงอีกแล้ว
เราคิดออกแต่ว่า ถ้าชีวิตไม่เป็นความหลงอีกแล้ว ชีวิตจะเป็นสีขาว
จะไม่เป็นอย่างนั้นหรอก จะไม่ทำอย่างนี้หรอก จะไม่นู้น ไม่นี้ ไม่นั้น นี่คือสิ่งที่เราคิด และนั่นเป็นความหลงเหมือนกัน
เราอาจจะไปถ่ายรูปเหมือนเดิม แต่หัวใจทั้งหมดของเราเปลี่ยนไป เราอาจจะชื่นชมกับการเห็นนก เห็นขนนก เห็นการกระทำอะไรของมัน แต่หัวใจเราไม่เหมือนเดิม
#ความแจ่มแจ้งนั้น เป็นความสามารถในการได้รับความสุขโดยที่ไม่หลง
เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ไม่ได้เป็นท่อนไม้ ไม่ได้เป็นก้อนหิน
แต่เป็นบุคคลที่มีความสามารถ ที่จะใช้ชีวิตนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพของมัน ที่ไม่ใช่การเลือกข้าง อยู่ข้างใดข้างหนึ่ง
และการที่คนคนนึงไม่ต้องเลือกข้าง อยู่ข้างใดข้างหนึ่ง นั่นคือ อิสรภาพ
#Camouflage
28-01-2566

Friday Jun 23, 2023
319.เกมส์ของอวิชชาที่ต้องการพัฒนาตัวเอง
Friday Jun 23, 2023
Friday Jun 23, 2023
บรรยายเมื่อ 14-01-2566
ความแจ่มแจ้งในชีวิตเป็นความฉับพลัน ทันที ไม่ใช่การฝึก
สิ่งเดียวที่ต้องมีในความฉับพลันนั้นคือ สิ่งแวดล้อมต่อชีวิตนี้ วิเวก สันโดษ เงียบ
และแจ่มแจ้งในโครงสร้างของชีวิตที่เกิดมาว่า สิ่งที่บงการชีวิตนั้น ด้วยความคิดทั้งหลาย หรือด้วยความรู้ทั้งหลาย หรือด้วยแนวคิดที่จะเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ #แจ่มแจ้งในความลวงหลอกทั้งหมดนี้ และไม่ไหลไปตามนั้น
ชีวิตของผมทั้งหมดคือ มีแต่รู้ว่าอะไรไม่ใช่ แต่พวกเรานักปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติธรรมในเชิงที่ พอสำเร็จอันนี้...อืม ใช่แล้ว พอได้อย่างนี้...เอ น่าจะอย่างนั้นมากกว่า พอได้อะไรอีก...อื้มม อย่างนี้ใช่กว่า
เรามีแต่ “ใช่” กับ “ใช่กว่า”
ของผมมีแต่ “ไม่ใช่” ไอนี่..ไม่ใช่ ไอนั่น..ไม่ใช่ ทุกวันผมมีแต่ “ไม่ใช่”
#เพราะธรรมะไม่มีจุดยืน ไม่มีที่ตั้ง
ถ้าทันทีมีคำว่า “ใช่” เช่น “ในชีวิตเรา เป็นแบบนี้แหละ ใช่แล้ว” นั่นคือปัญหา
ตัวที่เห็นแจ้งนี้ มันไม่เคยได้รับอะไร มันรับอะไรไม่ได้ มันเลยใช่ไม่ได้เหมือนกัน
เราต้องเข้าใจว่า เราไม่สามารถจะเป็นอะไรได้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ ที่ถูกเรียกว่า โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ มันเป็นไม่ได้ ไม่มีใครจะเป็นได้
ถ้ามีใครสักคนเป็นได้ #คนคนนั้นอยู่ในกระบวนการของการพยายามที่จะวิวัฒนาการอวิชชานี้ แค่นั้น เขาถึงรู้สึกว่า “เราเป็นสิ่งนั้น เราถึงที่นั่นแล้ว”
การที่เรารู้สึกว่า เราถึงที่ไหนก็ตาม นั่นคือจุดยืน นั่นคือที่ตั้ง
ในความจริง การถึงที่ไหนก็ตาม เป็นแค่ #Condition ใหม่ในชีวิตขณะนี้ แค่นั้น
ไม่ว่าจุดไหนก็ตามที่เราไปถึง ดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าเรารู้ทัน มันเป็นแค่ Condition ใหม่ในชีวิต หรือในจิตขณะนี้ แค่นั้น
แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และไม่มีใครไปเป็นมันได้คือ #ความแจ่มแจ้ง
ความแจ่มแจ้งหรือจิตวิชชานี้ ไม่มีความสามารถในการรับอะไร ได้รับความสุข ได้รับความทุกข์ ได้รับความพ้นทุกข์ ได้เป็นอะไร มันไม่มีความสามารถนั้น
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มันรู้ มันเพียงแต่รู้โครงสร้างของขณะนี้แค่นั้น และไม่ว่าความคิดจะบอกว่า ขณะนี้เป็นอะไร ทั้งหมดก็คือ Condition
เพราะฉะนั้น การที่จะมีใครสักคนนึง เป็นอะไรขึ้นมา เขาแค่ได้ Condition ใหม่เฉย ๆ แค่นั้น
#Camouflage
14-01-2566

